Top
สัมภาษณ์ดารา แอนโธนี่ ฮอปกินส์

 

สัมภาษณ์ "แอนโธนี่ ฮอปกินส์" ในบท คุณพ่อลูคัส จากภาพยนตร์เรื่อง The Rite

 

 
 


ถาม

ตอนที่คุณพยายามทำความเข้าใจกับตัวละครอย่างคุณพ่อลูคัส คุณต้องเกิดคำถามว่าคุณศรัทธาสิ่งไหน คุณถึงเข้าใจได้ว่า เขาศรัทธาอะไร ประเด็นเรื่องเลื่อมใสศรัทธาของมนุษย์นำพาคุณ สู่การแสดง เป็นเขาและสิ่งที่เขาศรัทธาหรือเปล่า?

 

ใช่ มันเป็นแบบนั้น ผมไม่อยากเชื่อมากมายนะ แต่ผมมีอีเมล์ที่คุยกับ ผู้กำกับ เขาเป็นคนเปิดรับความคิดมาก และมันเป็นช่วงจังหวะที่หวั่นไหว ได้ง่ายเสมอ เมื่อเรามีบทภาพยนตร์ที่ดีมากรออยู่แล้ว เราเลยต้องก้าวเดิน ไปด้วยความระมัดระวังมาก แต่ก็มีฉากที่เขานุ่มนวลพอ และผู้เขียนก็ ปล่อยให้ผมเปลี่ยนแปลงบทพูดบางประโยคใหม่ มีหลายครั้งที่ผมพูดว่า ‘ปัญหาของคนที่สงสัยและเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริงคือ การที่เราพยายาม แสดงให้เห็นว่าสิ่งไหนที่มีอยู่จริง’ หรือประโยคไหนก็ตามแต่ แล้วเขาหัน มาพูดว่า ‘คุณนั่นแหละที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า’  ....ใช่ ทุกวันผมต้องต่อสู้ดิ้นรนกับความไร้ซึ่งศรัทธาและการไม่เลื่อมใสของผม เพราะนั่นแหละชีวิตผม ผมหมายถึงผมไม่รู้ว่าผมเลื่อมใสสิ่งไหน ไม่รู้ว่าศรัทธาอะไร

ตอนที่ผมเป็นเด็กผมคิดว่าตัวเองรู้อะไรหลายอย่าง ตอนนี้ผมไม่รู้อะไรเลย ผมรู้อะไรๆ น้อยมาก นักปราชญ์ชาวกรีกสอนไว้ว่า เขาเป็นคนที่ฉลาด ที่สุดในโลก แต่พอเขาเดินไปรอบกรุงเอเธนส์ก็พบว่าไม่ใช่ มีคนที่ฉลาด กว่าอีกมากมาย แต่เขาเชื่อว่าหากเปิดรับมากขึ้นเขาจะรู้มากขึ้น ฉะนั้น สำหรับผมแล้วการเข้าไปสวมรอยในร่างปีศาจคือสิ่งที่ผมทำ ผมเปลี่ยน บทพูดประโยคเหล่านี้ แต่ผมพูดว่า ‘ผมไม่รู้ว่าผมเลื่อมใสอะไร’ เพราะผม อยากรักษาให้ทุกอย่างดูกระจ่าง ผมไม่รู้ว่าผมเชื่อในซานตาคลอส หรือพระเจ้า ผมไม่รู้ว่าจะเชื่อเรื่องไร้สาระอะไรดี ผมคิดว่าผมพูดว่า ไม่รู้ว่าผมเชื่อในพระเจ้า, ซานตาคลอสหรือทิงเกอร์เบล และผมไม่รู้ว่า ตัวเองศรัทธาอะไร บางทีรู้สึกเหมือนมีรอยขีดข่วนจากภายใน เหมือนรอยเล็บของพระเจ้า และบางครั้งออกจากด้านมืดเพื่อกลับสู่ แสงสว่างและ ex umbra ad lucem




 

เพราะประสบการณ์แรกของผมตอนที่เป็นเด็ก เรามีหมอคนหนึ่งที่เรียกว่า
หมอฟิลลิปส์ เขาเป็นหมอเด็กและเป็นหมอสูงวัยผู้ใจดี เขาดูเหมือน
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นิดหน่อยด้วย เป็นคนฉลาดมาก เรื่องนี้ย้อนกลับไปใน
ยุค 40 และบนแท่นจารึกของเขา มันคือ ex umbra ad lucem แล้วผมก็พูดว่า จากความมืดมิดสู่แสงสว่าง ‘หมายความว่าไงนะ?’ 
ตอนนี้เขาเป็นหมอ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ แถมยังเป็นคนเคร่งศาสนา มากด้วย ตอนผมเป็นเด็กผมเคยเป็นคนเชื่อว่าไม่มีพระเจ้า ไม่เชื่อเรื่อง พระเจ้า และผมเป็นอย่างนั้นอยู่หลายปี จนกระทั่งพบเจอบางอย่างในชีวิต ทีละเล็กทีละน้อย จนผมคิดว่านั่นไม่ใช่รูปแบบที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ต่อไป และผมหาวิธีการใช้ชีวิตอยู่ที่ดีกว่า ผมได้สัมผัสกับบางสิ่งที่พิสูจน์ถึงการ
มีชีวิตอยู่ได้มาก ซึ่งผมเชื่อว่านั่นเปลี่ยนแปลงแนวทางชีวิตของผมไป และผมเลือกที่จะเรียกว่าพระเจ้าหรือจิตใต้สำนึกอันศักดิ์สิทธิ์หรือส่วนที่ดีที่สุด
ของตัวผม แต่ผมไม่รู้ว่าผมเชื่อในความสำคัญของบุคลิกภาพของมนุษย์ หรือผมเชื่อในภูติผีปีศาจหรือเปล่า ผมไม่รู้หรอก ในภาพยนตร์ผมพูดว่า ‘แต่การไม่เชื่อในพระเจ้า จะปกป้องคุณจากมันไม่ได้’ ซี.เอส.เลวิส
พูดไว้แบบนั้น แต่โดยส่วนตัวแล้วผมไม่รู้ว่าผมเชื่อมั่นศรัทธาอะไรอยู่





ถาม

คุณอยากให้จุดพลิกผันพวกนั้นมีความพิเศษมากขึ้นมั้ย?

ไม่หรอก มันเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไป แต่การได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้ผมเกี่ยวกับการอ่านทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มจากย้อนกลับ
ไปอ่าน The Origin of Species ของชาร์ลส ดาร์วิน จากนั้นก็วอลเลซ
และ The Voyage of the Beetle ของดาร์วิน เพื่อดูจุดเหมาะสมของ นักวิทยาศาสตร์กับแนวคิดของทฤษฎี และส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึงตัวไอน์สไตน์
เองด้วย เขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเป็นการส่วนตัว หรอก แต่เขาเชื่อว่า สรรพสิ่งของทั้งโลกในอดีตมีความฉลาดมาก ฉลาดอย่างร้ายกาจ เขาอยู่ใน การเกรงกลัวทุกสิ่ง แม้แต่ความสวยงามแห่งชีวิต อย่างที่ชาร์ลส ดาร์วินเป็น รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตที่น่าเคารพและสัตว์ต่างๆ เขาไม่ได้เชื่อว่าพระเจ้าไม่มีจริง อย่างสิ้นเชิง เขาแค่เป็นนักวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์

ผมหมายถึงความยุ่งเหยิงที่เกิดความเสียหายในทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน พร้อมด้วยฝ่ายศาสนจักรและความเชื่อของผู้คน เพราะในประเทศอังกฤษ สมัยพระนางเจ้าวิคตอเรียในช่วงที่ทุกคนเชื่อว่าโลกมีอายุ4,000 ปี โดยพื้นฐาน และพวกเขาย้อนกลับไปสู่บาทหลวง ฉะนั้นนี่จะทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างแย่ลงและนี่ทำให้ผมอ่านหลักปรัชญา จิตวิทยาและพวกเรื่องศาสนา มากขึ้น และผมก็เชื่อว่ามันดีขึ้น ผมไม่เชื่อว่านี่เป็นจุดสิ้นสุด ผมไม่สามารถ ใช้ชีวิตโดยการเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริงอย่างปิดกั้นแบบที่ผมเคยเป็นได้ หรือการใช้ชีวิตปัจจุบันอยู่ในห้องที่ปิดกั้นไม่มีหน้าต่าง


 

ตอนนี้ผมรู้จักคนที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงอย่างปราดเปรื่อง เช่น คริสโตเฟอร์ ฮิตเชนส์ ที่ไม่เชื่อ แต่สำหรับผมมันเหมือนคนที่พูดเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ใครพูดว่าการถกเถียงจบลงแล้ว? นักการเมืองกล่าวการถกเถียง จบลงแล้วหรือ?  คุณคิดว่าคุณเป็นคนบ้าที่ไหนกัน? นักการเมืองกล่าว การถกเถียงจบลงแล้วหรือ?  ไม่ ฮิตเลอร์บอกแบบนั้น ผมไม่ได้เปรียบเทียบ กับเรื่องการเมือง แต่สตาลินและเหมาใช้หลักปรัชญาของคาร์ล มาร์ซ ที่มีมาอย่างยาวนานในทางที่ผิด แต่แน่นอนว่าเป็นหนึ่งในศัตรูที่ยิ่งใหญ่ ของสิ่งแวดล้อมความเป็นมนุษย์ ความไม่แน่นอนคือสิ่งที่เราทุกคน ต่างคุ้นเคย

ถาม ก่อนหน้าภาพยนตร์เรื่องนี้คุณรู้อะไรเกี่ยวกับพิธีการไล่ผีมาบ้าง แล้วตอนนี้คุณคิดอย่างไรกับมัน?
 

ผมสนุกกับภาพยนตร์เรื่อง The Exorcist มาก ตอนนี้ผมคิดอย่างไร กับมันหรอ? ผมมีการโต้เถียงนิดหน่อยนะ คุณพ่อแกรี่ [โธมัส] เชื่อว่าปีศาจ พลังที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพมนุษย์ ผมเลยเพิ่มเดิมพันของผมและ ทำให้พวกเขารู้ว่าผมศรัทธาสิ่งไหน แต่ผมว่าในกรณีนี้ผมเชื่อว่ามันเป็น ความวุ่นวายทางจิต ผมเปิดใจรับเกี่ยวกับมัน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมมีหลักฐานที่เป็นเครื่องเตือนใจชิ้นเล็กๆ ในชีวิตอยู่ 1-2 คนที่ถูก บางอย่างสิง ซึ่งมันน่ากลัวและน่าหวาดผวามาก มันเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่ง ช่วงเวลาที่มันแตกแยกออกมา เวลาที่เราเห็นจะคิดเลยว่า ‘โอ้ พระเจ้า คนนี้มีความประสงค์ร้ายแน่ๆ’  เราเห็นได้จากดวงตา และเราจะคิดว่ามัน น่าจะเป็นความผิดปกติทางจิตบางอย่าง





ถาม แนวคิดที่คุณพูดถึงว่า มีความฉลาดอยู่เบื้องลึกเบื้องหลัง ของจักรวาล คุณคิดว่าคุณสามารถพูดถึงความฉลาดส่วนนั้น
เป็นการนำไปทางชั่วร้ายบางอย่าง และนั่นคือวิธีที่ปีศาจเข้ามา ได้มั้ย? มีความรู้สึกไหนที่มันไม่ใช่บุคลิกภาพของมัจจุราช แต่ส่วนหนึ่งของความฉลาดนี้คือวิธีที่ถูกนำไปทางชั่วได้อย่างไร?

ทำไมถึงมีแผ่นดินไหว? ทำไมถึงมีภูเขาไฟ? ทำไมถึงมีสึนามิ? ทำไมเด็กๆ เกิดมาและตายลงที่ออสวิตซ์ด้วยความเจ็บปวด? ความน่ากลัวของโลก ที่เรากำลังอาศัยอยู่ ดาร์วินกล่าวเอาไว้ว่า ‘นั่นไม่ใช่พระเจ้า นั่นไม่ใช่เรื่อง เกี่ยวกับพระเจ้าเลย’ เขาสร้างพลังอันทรงอิทธิพลแห่งชีวิต ซึ่งเป็นศูนย์กลาง ของจักรวาล ไม่ว่าจะมาจากที่ไหนก็ตาม ไม่ว่ามันจะเป็นทฤษฎีบิ๊กแบง หรือมาจากเมื่อ 13 พันล้านปีที่แล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ช่วงเวลานั้น มันเริ่มจากกระบวนการทั้งหมด แต่ไม่ว่าแมวจะจับหนู หรือมีการฆาตกรรม ในป่าที่หลายสิ่งต้องถูกฉีกขาดเป็นชิ้นๆ เมื่อความรุนแรงของมนุษย์ เป็นเหตุให้เกิดการฆาตกรรมและความน่าสยองทุกอย่าง นั่นไม่ใช่เรื่อง เกี่ยวกับพระเจ้าเลย นั่นเป็นเรื่องของสภาพแวดล้อมแห่งการสร้างขึ้น และการทำลายล้าง ย้อนกลับไปที่ศาสนาฮินดู ซึ่งมีพระเจ้าแห่งการทำลายล้างและพระเจ้า
แห่งการสร้าง ผมเลยคิดว่าพวกเราล้วนมีพลังอยู่ในธรรมชาติ บางคนกล่าวว่า ‘จงมีความอ่อนโยนเพราะทุกคนต่อสู้เพื่อการดิ้นรนที่สำคัญ’ มนุษย์แต่ละคนต่อสู้เพื่อการดิ้นรนที่สำคัญ เราไม่รู้หรอกว่าปัญหาของผู้คน คืออะไรบ้าง ฉะนั้นเพื่อเพิ่มเดิมพันคือควรอ่อนโยนมีเมตตากับทุกคน เพราะมันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะกลายเป็นคนโหดร้าย มีจิตอาฆาต ซึ่งเรามีกันอยู่ทุกคน เรามีความแค้น ความโกรธ ความอาฆาตที่อยากจัดการ พวกเขา แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็เหมือนจุดไฟเผาตัวเอง

 


 

ฉะนั้นหากปีศาจอยู่ในความเท่ากันกับเรื่องนั้น พูดได้เลยว่าผมกำลัง จะจัดการพวกเขา เพราะพวกเขาเคยทำอะไรผมเอาไว้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว มันเป็นปีศาจที่ไม่ได้อยู่ในคราบของมนุษย์ มันคือวิญญาณร้าย มันจะ ทำลายเรา ซึ่งเรามีอยู่ทุกคน ผมหมายถึงไม่มีใครหรอกที่เป็นนักบุญได้ แต่มันเป็นเครื่องป้องกันการปะทะกับมัน ผมแต่งงานกับผู้หญิงที่น่ารัก เธอตื่นขึ้นมาด้วยความสุขในทุกเช้า ผมไม่รู้ว่าเธอทำได้ไงแต่เธอเป็น แบบนั้น ผมรู้ว่าเวลาผมเดินเข้าไปเธอจะบอกว่า ‘เลิกเป็นกังวลเถอะ เราอยู่เพื่อวันนี้เท่านั้น มีความสุขเข้าไว้’ เพราะผมต้องคอยถูกเตือน ผมจะบ่นจะว่าก็ได้ ‘วันนี้ฝนตกอีกละ’ หรือ ‘ทำไมไม่มีโทรศัพท์จากทั่วแทน ผมเลย?’ ผมกำลังมีชีวิตที่วิเสษ ผมดูไปรอบๆ และเห็นคนที่มีปัญหาจริงๆ คนที่มีปัญหาหนัก คนที่กำลังจะตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรง ความทรมาณจากความยากจน ผมเลยคิดว่าแล้วผมเป็นบ้าอะไรกันเนี่ย? แต่หากผมมีความสุขไปกับมัน และคิดว่าผมจะบ่นจะว่าอะไรมากเท่าไหร่ ก็ได้ นั่นคือเหตุผลว่าอย่างในธุรกิจที่ผมทำอยู่ มีคนมากมายที่มีความเห็น หลากหลายในทุกเรื่อง พวกเขามั่นใจอย่างเต็มที่ นักแสดงมีข้อเสีย ที่สุดในเรื่องนี้แหละ พวกเขามีความมั่นใจ ซึ่งถือว่าพระเจ้าให้พรพวกเขา แต่ผผมไม่อยากมั่นใจ ผมไม่มีความมั่นใจอะไรเลย ผมไม่มีความรู้พอ ที่จะมั่นใจ และในการขาดความรู้นั้นเป็นที่มาของพลังแห่งสิ่งชั่วร้าย

จาค็อบ โบรโนวสกี พูดถึงใน The Ascent of Man เอาไว้ เขากล่าวว่า เมื่อเราลดอัตรามนุษย์ลงถึงตัวเลขที่เรามีในออสวิตซ์ และภาพยนตร์ของ BBC ที่เขาทำเรื่องนี้ เขายืนอยู่ที่บ่อน้ำของออสวิตซ์ ที่เขาสูญเสียคนใน ครอบครัวและญาติส่วนใหญ่ไป เขากล่าวว่าเพราะคนเชื่อในความแน่นอน และความรู้ความเข้าใจอย่างเต็มที่ ผมว่านั่นเป็นสิ่งที่อันตราย





ถาม คุณหลบเลี่ยงผู้คนที่เชื่อมั่นในธุรกิจแบบนี้อย่างเต็มที่ได้หรือเปล่า?

มันไม่ใช่คำถามถึงการหลีกเลี่ยง มันคืออย่างที่คุณรู้นั่นแหละคือการภาวนา ให้พวกเขามีความสุข แต่ผมไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักปรัชญา และความเชื่อของพวกเขา มันไม่ใช่คำถามของการหลีกเลี่ยง ผมหมายถึง ผมรู้จักผู้ที่ไม่ศรัทธาเรื่องพระเจ้าที่มีความฉลาด มีความสุภาพ และเป็นคนดี ผมไม่ต้องการความเชื่อมั่นนั้น ผมมีความเชื่อมั่นไม่ได้เพราะผมไม่ฉลาดพอ ผมรู้สึกทึ่งในความฉลาดของคน ผู้คนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับทุกสิ่ง ในการนับถือศาสนา พวกเขามีความคิดเห็นในทุกเรื่อง นั่นเป็นสิ่งที่ดี พวกเขาอาจถูกหรืออาจผิดก็ได้  

ถาม  ตอนที่เราเห็นรูปของเฮอร์ไมโอนี่ตอนเด็ก นั่นเป็นรูปที่ตัดต่อขึ้นมา หรือเป็นรูปตอนเด็กของคุณจริงๆ?

ไม่ นั่นเป็นรูปฉันตอนเด็กจริงๆ  [หัวเราะ] มีของโปรดอย่างหนึ่งที่อยู่คู่ กับฉัน ฉันมีผ้าขนหนูที่มีหูกระต่ายอยู่บนนั้น แล้วก็มีภาพนั้นอยู่ด้วย ซึ่งฉันไม่รู้หรอกว่าพวกเขาจะใช้ภาพไหน พวกเขาขอรูปตอนฉันเป็นเด็ก จากพ่อ แล้วพ่อก็ให้บางรูปมา มันเลยแปลกมากที่ได้เห็นภาพของจริง เหล่านั้นถูกผสมกับพ่อแม่ตัวปลอม แปลกดี 

ถาม  บทพูดของคุณเป็นภาษาอิตาลี่เยอะมาก แต่ตัวละครเป็นชาวเวลส์

ผมไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาใส่ลงไปในบทว่าเป็นชาวเวลส์ ผมมีข้อจำกัด ในเรื่องนั้น ผมถามว่าทำไมพวกเขาถึงใส่ลงไปล่ะ? และมิคาเอล [ฮาฟสตรอม] ก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะเป็นคนสวีเด็น ผมว่าชาวอเมริกันก็จะพูดว่า ‘เขาเป็นชาวเวลส์’ แต่มันก็ไม่สำคัญอะไร แม้ว่าเขาจะเป็นชาวสก็อตก็ไม่สำคัญ แต่ผมว่ามันไม่ค่อยเหมาะสม อยู่นิดหน่อย ผู้คนพูดว่าเขาเป็นชาวเวลส์ โอเคก็ได้ แต่มันไม่สำคัญอะไรเลย

ถาม  และคุณไม่ได้เจาะลึกลงไปในสำเนียงภาษาเวลส์มากนัก

ไม่ ไม่เลย 

ถาม

คุณช่วยพูดถึงการทำงานร่วมกับโคลินให้ฟังได้มั้ย? มันเป็น ความสนุกสนานสำหรับคุณที่ได้เข้าฉาก และค้นพบความสามารถ ของตัวคุณในด้านนี้เป็นครั้งแรกหรือเปล่า?

 

ใช่ คุณรู้เรื่องของเขามั้ย? ตัวแทนของเขาพูดว่า ‘คุณช่วยมาทดสอบ ภาพยนตร์ได้มั้ย?’ เขากำลังอยู่ที่ไอร์แลนด์ เขาอาศัยที่ไอร์แลนด์ใน เมืองเล็กๆ ชานเมืองดับลิน ‘คุณช่วยมาทดสอบภาพยนตร์ได้มั้ย?’ เขาก็ตอบ ‘ทำไมล่ะ?’ เขาตอบ ‘สำหรับบทนี้ไง’ แล้วเพื่อนบ้านของเขา เพื่อนที่อยู่ ข้างบ้านตั้งกล้องไว้ให้เขาและส่งการทดสอบมาให้ New Line และพวกเขาก็ดูมัน ผมมีการทดสอบกับเขานิดหน่อยที่โรงแรมทางตอนล่าง ของชายฝั่ง และนั่นคือเรื่องราวว่าเขาได้บทมาอย่างไร มันเป็นความพิเศษ เพราะมันเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา เขาเป็นกังวลมาก ผมบอกว่า ‘อย่ากังวลไปมันเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ โอกาสอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตนะ’ และผมว่าเขามีผลงานอื่นด้วย ผมว่าเขาเป็นนักแสดงหนุ่มที่ไม่ธรรมดา เขาอายุเพียง 23, 24 หรือประมาณนั้น เขายอดเยี่ยมมาก

ถาม รักษาความมีชีวิตชีวาของนักแสดงหนุ่มคนนั้น
ให้อยู่ในตัวคุณหรือเปล่า?
 

ผมหวังเช่นนั้นนะ

ถาม คุณทำแบบนั้นได้อย่างไร? เพราะคุณมีประสบการณ์มาแล้ว มากมายภายใต้ตำแหน่งหน้าที่ของคุณ และในความเป็นจริง คนที่ทำงานร่วมกับคุณเล่าความจริงให้ฟังว่า ตอนที่คุณเข้ามา คุณมีความพร้อมสุดๆ
 

ใช่ นั่นแหละความสนุกของมัน ผมรักการถ่ายทำบทภาพยนตร์ และเรียนรู้บท ตัวอย่างเช่นผมได้บทภาพยนตร์มาและผมพูดว่าใช่ จากนั้นผมก็จะไปพักผ่อนวันหยุดกับครอบครัว เราไปที่ Big Sur และผมคิดว่า ผมจะพักผ่อนและพอตอนผมกลับไปผมจะเริ่มดูมัน แล้วผมก็พบว่าผมมีบทภาษาลาตินทั้งหมด ตอนนั้นผมคิดว่า ‘โอ้พระเจ้า น่าจะเริ่มตั้งแต่ 2-3 อาทิตย์ที่แล้ว’ ผมเลยต้องคร่ำเคร่งกับมัน แต่ผมรักความกดดันแบบนั้นนะ 





 

ฉะนั้นทุกวันผมต้องพิมพ์ภาษาอิตาลี่ออกมาทั้งหมด และผมมีเครื่องอัดเทป หรือเครื่องอัดเสียงภาษาลาตินและอิตาลี่ ผมฟังการออกเสียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า 300, 400 ครั้งในแต่ละตอน เพื่อให้พูดได้ถูกต้อง แล้วก็ทำกับภาษาลาติน ในแบบเดียวกัน และผม force-feed myself the lines ผมทำซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ผมหมกมุ่นอยู่กับมันแต่ก็สนุก จากนั้นพอถึงเวลาที่ผมมาถึงฉาก ผมรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ และนั่นเป็นความรู้ที่มั่นใจว่าผมมีความรู้ในเรื่องนี้ จากนั้นเราก็มีความมั่นใจที่จะแสดงโดยไม่มีการเตรียมมาก่อน แสดงไป เรื่อยๆ และทำเหมือนมันเป็นครั้งแรก แต่เราต้องรู้ถึงการแสดงของเรา เราจะไม่ตรียมการใดเลยไม่ได้ เราจะแกล้งทำเป็นรู้เรื่องไม่ได้ เราต้องรู้จริง และผมหมกมุ่นอยู่นิดหน่อย ผมมีความใฝ่ฝัน ซึ่งเป็นความฝันของนักแสดง ว่า ผมได้อยู่ในฉากและไม่รู้บทอะไรเลย ผมเลยนึกชดเชยถึงความกลัว จนไม่ได้สติที่ผมมี ผมทำงาน ทำงาน และทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้ มั่นใจว่าผมเข้าใจมัน 

ถาม  มันเคยเกิดขึ้นหรือเปล่าเวลาที่คุณนึกบทอะไรไม่ออกเลย??

:  โอ้ มันเลวร้ายมาก ในเรื่อง God’s Station ของเชคสเปียร์มันแย่มาก เขามองและพูดว่า ‘ถึงตาคุณละ’  มันเกิดขึ้นอยู่ 2-3 ครั้ง นักแสดงไม่ได้ เรื่องสุดๆ เขาบอกว่าคุณเป็นคนต่อไป ต้องพูดว่าอะไร?  คุณสะสางมัน ด้วยตัวเอง จากนั้นมันก็จะมา แต่มันเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายมาก มีนักแสดงคนเก่งที่เรียกกันว่า ราล์ฟ ริชาร์ดสัน รู้ใช่มั้ยผมหมายถึงใคร? เซอร์ ราล์ฟ ริชาร์ดสัน?  เขาอยู่กับกิลเบิร์ตและทุกคน เขาค่อนข้างผิดปกติ และเขาอยู่บนเวทีที่ The National Theatre เพื่อแสดง และในช่วง กลางฉากเขาพูดกับคนบอกบทที่อยู่ตรงมุมขึ้นมาทันทีว่า ‘ผมไม่ได้ยินคุณ เลย’ และไปเอาหนังสือบอกบทมา ‘บทนี้ใช่มั้ย? ขอบคุณ’ เป็นบุคคลที่มี ประโยชน์อารมณ์ดีและจะอยู่ข้างคุณ ‘เราอยู่ตรงไหนกันแล้ว?’ เขาลืมบทตัวเองตลอด แต่เขาไม่สนใจเพราะเขาเป็นนักแสดงคนพิเศษ แต่ผมท่องบทตัวเองต่อไป เพราะผมคิดว่ามันดีต่อความจำ ผมฝึกฝนสมอง ผมเลยเล่นเปียโนทุกวัน และพยายามเรียนรู้ ผมเคยเรียนบทกวีเป็นวัน แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำแบบนั้นมากแล้ว ผมชอบอ่านและชอบเรียนรู้สิ่งต่างๆ เรียนรู้บทภาพยนตร์ เรียนรู้ภาษาลาติน และเรียนรู้ภาษาอิตาลี่ แม้แต่การออกเสียงก็มีการใช้ภาษามือและรักษาทุกอย่างให้มีชีวิตชีวาไว้

ถาม

ฉากภาพยนตร์เป็นเหมือนองค์ประกอบที่สร้างสรรค์
ส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ

 

ใช่ แต่ผมไม่รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของมัน ไม่รู้สึกเลย ผมรู้สึกแยกขาดจาก โรงละครอย่างสิ้นเชิง ผมเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ไม่รู้สินะ บางทีผมอาจเป็นเด็ก ที่มีปัญหา และผมก็ไม่เหมาะกับมัน ผมเป็นเด็กเกเร

ถาม The Lion in Winter เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของคุณหรือเปล่า?
 

นั่นเป็นเรื่องแรก ใช่เลย

ถาม คุณรู้ได้อย่างไรว่า คุณไม่พบมันจากประสบการณ์ที่โรงละคร?
 

สิ่งที่วิเศษสำหรับภาพยนตร์คือ เราสามารถแสดงซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ และเรามีชีวิตชีวา แต่ในโรงละคร แม้แต่เค็น บรานอก์ที่แสดงมาแล้ว มากมายยังพูดเลยว่า ‘เราตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วก็คิดว่า โอ้พระเจ้า ฉันต้องแสดงทั้งหมดนั่นอีกแล้ว’ ที่ต้องรับบทเป็นกษัตริย์ Lear หรืออะไรก็ตาม และเราต้องแสดงมันอีกครั้ง มันค่อยๆ บั่นทอนกำลัง
เราไป ดีเร็ค จาโคบี้ และ เอียน แม็คเคลเล็น รักมัน พวกเขาแสดงมันได้ รวมถึงจูดี้ เดนช์ ด้วย พวกเขารักมัน ผมประหลาดใจกับการยืนหยัด ของพวกเขา ผมไม่มีแบบนั้นในตัวผม ผมอยากมีช่วงเวลาดีๆ ผมรักแสดงแดด รักมาลิบู มันเหมือนกับมีความตั้งใจในการทำงาน ด้านโรงละครมาก





ถาม  พูดกันถึงเรื่องการเล่นเปียโน คุณยังประพันธ์ดนตรีอยู่หรือเปล่า?

ครับ

ถาม  และคุณก็มีการแสดงในบางครั้งด้วย??

ถูกต้อง ใช่เลย ผมอาจจะมีคอนเสิร์ต ผมมีคอนเสิร์ตที่เบอร์มิงแฮม ในอังกฤษและต่อมาในเทศกาลของปีนี้ด้วย ผมยังเขียนเพลงอยู่ ก่อนหน้านี้ผมไม่มีเวลาได้ทำ แต่ผมเล่นเปียโนทุกวันและผมเล่นเพลงที่ยาก ไม่ใช่เพราะผมเป็นนักเปียโนคอนเสิร์ต แต่ผมอยากคงสมองและการทำงาน ประสานกันเอาไว้ ผมจึงเล่นจังหวะที่ไม่อ่อนนุ่มโดย Bachและผลงานดนตรี และอะไรทำนองนั้นผมเล่นมันในแบบ G Minor อย่างรวดเร็ว เพราะผมรักความอมตะ ในการเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้ดูสมบูรณ์แบบ ตอนนี้ผมไม่ใช่นักเปียโนแล้ว ผมแสดงคอนเสิร์ตในหอประชุมไม่ได้ แต่มันเหมือนกับการฝึกคณิตศาสตร์ สำหรับผม นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ผมถึงทำ และผมเล่นดนตรีอย่างมีอิสระมาก ผมหมายถึงผมไม่มีการเรียน ผมไม่มีการเรียนดนตรีตามหลักวิชาการ ซึ่งทำให้ผมมีอิสระในการเล่นมาก เพราะเหมือนผมเขียนบทกวีอิสระ ควบคุมวงดนตรีและวงออเคสตร้า ผมมีคอนเสิร์ตเมื่อปีที่แล้วในอิตาลี่และอีกครั้งที่ดอลลาส และมีอีกคอนเสิร์ต กำลังจะเกิดขึ้นที่เบอร์มิงแฮม ผมเลยต้องประพันธ์เพลงอีกเยอะเลย

ถาม  คุณใส่คุณภาพลงไปในระดับที่เท่ากันหรือเปล่า? คุณบอกว่าคุณทำ ให้เหนือกว่ามาตรฐานของคุณให้ยิ่งขึ้นไป คุณทำแบบนั้นกับ เรื่องเปียโนหรือเปล่า??

ครับ ผมมีปากกาไว้คอยจัดการในส่วนของเพลง 20, 30, 40 รอบ เพียงแค่ ส่วนหนึ่งในการเล่นท่อนที่ยาก และผมจะทำมันอย่างช้าๆ ช้ามากๆ ผมเขียนโน้ตเพลงตัวเล็กๆ ในนั้นไว้อย่างช้าๆ จากนั้นก็เล่นไปอย่างช้าๆ แล้วก็มาผ่อนคลาย ลุกออกจากตรงนั้น กลับมาใหม่ในอีกวันเพื่อจัดการ กับส่วนอื่น แล้วก็ลุกออกไปจากตรงนั้นสัก 2-3 วัน พอกลับมาทั้งหมด ก็จะเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว

* ดูประวัติ แอนโทนี่ ฮ็อปกิ้นส์

* ดูอัลบั้มรูป แอนโทนี่ ฮ็อปกิ้นส์

 


 
 

Box Office

เรื่อง
ล่าสุด
รวม
1.
2.
3.
4.
5.
เรื่อง
ล่าสุด
รวม
1.
2.
3.
4.
5.

บทสัมภาษณ์ทั้งหมด

 
 
 

ติดตามหนังดี : Youtube Instagram Facebook Twitter  

MMM Digital Asset Co.,Ltd.
109 อาคารซีซีที ชั้น 2 ถนนสุรวงศ์
แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
Tel. 0-2234-7535    FAX. 0-2634-4269
E-mail: webmaster@nangdee.com   © 2006 nangdee.com
แผนที่ | sitemap | ติดต่อโฆษณา