Top
สัมภาษณ์ดารา แนท ณัฐชา นวลแจ่ม

 

ทายาทกีตาร์คิงส์ ซี้ดขั้นเทพ!

ท่าโซโล่กีตาร์พลิ้วๆ บวกกับลีลามันๆ ของหญิงสาวหน้าใสขณะบรรเลงบทเพลงร็อก
ในภาพยนตร์เรื่อง “Suck Seed ห่วยขั้นเทพ” คงทำให้หลายคนอดทึ่งไม่ได้เมื่อรู้ว่า
นางเอกของเรื่องเล่นดนตรีเป็นจริงๆ และยิ่งทำให้อึ้งไปกันใหญ่เมื่อได้รู้ว่าเธอคือ
“แนท ณัฐชา นวลแจ่ม” ลูกสาวแท้ๆ ของ “แหลม มอริสัน” เจ้าของฉายา “กีตาร์คิงส์”
ตำนานกีตาร์ระดับเทพของเมืองไทย ถ้าคิดว่าความสามารถที่เห็นทั้งหมดเป็นเรื่องธรรมดา
สำหรับลูกไม้ใต้ต้นแล้ว ขอบอกว่าคิดผิดถนัด เพราะกว่าจะเล่นเก่งขั้นเทพได้อย่างที่เห็นในฉาก
ลูกสาวกีตาร์คิงส์อย่างแนทก็เคยห่วยมาก่อนเหมือนกัน

ส่วนจะห่วยจนถึงขั้นเทพเลยหรือไม่นั้น เธอพร้อมแล้วที่จะเปิดทุกมุมให้ได้รู้จักกัน


ที่มา : Manager


 
 



 

เรียกได้ว่าเป็นนางเอกเนื้อหอม ตั้งแต่ภาพยนตร์ยังไม่เข้าฉายเลยทีเดียว เพราะทีมงานต้องจองคิวสัมภาษณ์ล่วงหน้าเกือบเดือนเพื่อให้ได้ทำความรู้จัก กับเธอคนนี้อย่างเป็นส่วนตัว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องแบ่งเวลากับสื่ออื่นอีก
หลายฉบับ ทั้ง หนังสือพิมพ์ นิตยสาร รวมถึงรายการโทรทัศน์ ซึ่งรุมตอมเธอเป็นว่าเล่น ปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจสร้างความ ประหลาดใจให้แก่ทีมงานมากกว่าที่เป็นอยู่ หากบุคคลที่ได้รับ ความสนใจคือนางเอกหน้าใหม่รายอื่นๆ แต่เพราะเธอคือ
“แนท ณัฐชา นวลแจ่ม” จึงไม่น่าแปลกใจ เท่าใดนักที่ใครๆ ต่างก็ อยากพูดคุยกับเธอ ไม่ว่าจะในฐานะ
“ลูกสาวกีตาร์คิงส์” “ดาวรุ่งดวงใหม่จากค่ายGTH”หรือในฐานะ“สาวกชาวร็อกตัวจริง”
คุณสมบัติหลายๆ อย่างที่รวมเป็นเธอคนนี้ ถือได้ว่ามีจุดขายที่น่าสนใจ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ดึงดูดให้ M-Lite นัดพบกับเธอในครั้งนี้


 

ก่อนงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตจะเริ่มขึ้น ยังพอมีเวลาเหลือเฟือ ให้นั่งพูดคุยกับนางเอกของเรื่องได้อย่างไม่รีบเร่งนัก แนท ปรากฏตัว ในสภาพพร้อมเต็มที่ก่อนเวลาขึ้นแสดงหลายชั่วโมง เธอแต่งหน้า เซตผมเรียบร้อยอยู่ในเสื้อสีเหลือง กระโปรงลายสดใส ทั้งยังไม่ลืม เพิ่มดีกรีความร็อกด้วยถุงน่องดำ เสื้อคลุมโทนน้ำตาลและรองเท้า หนังส้นสูงปรี๊ดสีเดียวกัน แนทมอบยิ้มกว้างแก่ทีมงานแทน คำทักทายแรกพบ เผยให้เห็นรูปฟันเรียงสวยและแววตาเป็นมิตร ที่ส่งมาแต่ไกล




  ก่อนสนทนากันอย่างจริงจัง เราเริ่มอุ่นเครื่องโดยให้ร็อกเกอร์สาวโพสท่า ถ่ายรูปพลางพูดคุยกันไปด้วย แรกๆ ดูเหมือนแนท ยังมีอาการเกร็งอยู่บ้าง ที่ต้องแอ็กท่า กระทั่งได้หยิบกีตาร์คู่ใจออกมาถ่ายด้วย เธอจึงค่อยๆ ผ่อนคลายและปล่อยท่าทางทะเล้นๆ ในแบบที่เป็นตัวเองออกมาให้เห็น ทำให้ทีมงานรู้สึกได้ทันทีว่า “แนท ณัฐชา” กับ “กีตาร์” เกิดมาเพื่อคู่กันจริงๆ

คุณพ่อหวง ไม่อยากให้เข้าวงการ

  อดสงสัยไม่ได้ว่าหญิงสาวหน้าตาน่ารักที่อยู่ตรงหน้า รอดพ้นจากการ ตกเป็นเป้าสายตาของสื่อมวลชนมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร ในเมื่อคุณพ่อ ของเธอก็มีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ เอ่ยชื่อ “แหลม มอริสัน” แล้ว แทบไม่มีใครไม่รู้จัก โดยเฉพาะคนในวงการดนตรีด้วยกันเอง เดาว่าอาจ เป็นเพราะคนส่วนใหญ่มักรู้จักจากสมญานามมากกว่าชื่อจริง ทำให้ไม่ค่อยมีใครเรียกคุณพ่อว่า “วิชัย นวลแจ่ม” เมื่อได้ยินชื่อ “ณัฐชา นวลแจ่ม” จึงมีไม่กี่คนที่จะนึกเอะใจว่าแนทคือลูกสาว ของศิลปินชื่อดัง และ หนึ่งเหตุผลสำคัญที่ความลับเล็กๆ นี้ถูกเก็บงำเอาไว้ กระทั่งมาเปิดเผยอย่างเป็นทางการในวันที่เธอได้เป็นนางเอกภาพยนตร์วัยรุ่น อย่างตอนนี้ แนทบอกว่าส่วนหนึ่งเกิดจากอาการหวงลูกสาวของคุณพ่อนี่เอง
 


 

 “จริงๆ แล้วแนทเคยเล่นเอ็มวีมาก่อนตัวหนึ่งนะ นานมากแล้ว สักประมาณ ม.ต้นได้ ตอนนั้นคุณอาฟิลิปส์เขามาชวนให้ไปแคสต์ดู เขาทำงานเป็น ผู้จัดการในแกรมมี่ รู้จักคุณพ่อแล้วก็เคยเห็นแนทมาก่อนด้วย ก็เลยลองไป แคสต์ดูแล้วก็ได้เล่นค่ะ ตอนถ่ายเอ็มวีก็ไม่มีอะไรมาก แสดงเป็นลูกคุณหนู แล้วมีพระเอกมาแอบชอบ ใส่ชุดนักเรียน เดินทำท่าสวยๆ ไปมา (หัวเราะ) แต่หลังจากงานนั้นก็เลิกค่ะ ไม่ได้ถ่ายงานอื่นอีก เพราะจะให้เข้ามา แคสติ้งบ่อยๆ คุณพ่อไม่ยอม เหมือนกับตอนนั้นเรายังเด็กอยู่ด้วย คุณพ่อเป็นห่วง บอกว่าอย่าไปเลย อยู่บ้านแหละดีแล้ว เลยได้เล่นเอ็มวีแค่ตัวเดียวแล้วก็ไม่เคยถ่ายงานอื่นอีกเลย คุณพ่อเขาหวงลูกสาวจริงๆ ค่ะ (ยิ้ม)”




 

 เมื่อไม่มีความคิดสนับสนุนลูก สาวให้เข้าวงการ คุณพ่อวิชัยจึงไม่เคยใช้ ชื่อเสียงของตนเองผลักดันหรือหวังให้แนทเกาะกระแส ดังเหมือนคนอื่นๆ กระทั่งค่ายหนังวัยรุ่นยักษ์ใหญ่อย่างจีทีเอชติดต่อให้แนทรับเล่นเป็น “เอิญ” ร็อกเกอร์สาวชั้นมัธยม ผู้มีฝีมือกีตาร์ขั้นเทพ คุณ พ่อซึ่งมีดนตรีร็อก ในหัวใจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะหวงลูกสาวแค่ไหน สุดท้ายจึงยอมใจอ่อน สนับสนุนงานแสดงครั้งนี้อย่างสุดตัว ถึงกับยอมให้ผู้กำกับ เดินทางมาแคสติ้งกันถึงที่บ้านเลยทีเดียว


 

“พอดีพี่สาวแนทที่เป็นญาติกัน รู้จักเพื่อนที่ทำงานในจีทีเอช บอกว่าพี่หมู ผู้กำกับอยากได้นางเอกหนัง แล้วตอนนั้นเขายังหา นางเอกไม่ได้ เหลือเวลา 2 วันสุดท้ายการแคสติ้งจะปิดลง พี่เขาก็เลยแนะนำแนทไป คุยกันเสร็จสรรพพี่หมูก็ขับรถมาที่พัทยาเลยค่ะ มาแคสติ้งถึงที่บ้านเลย ตอนนั้นคุณพ่อก็อยู่ด้วย พี่เขาให้แนทลองเล่นเข้าบทดู เสร็จแล้วก็ให้ เล่นกีตาร์ให้ดูด้วย แนทเลย เลือกเล่นเพลงซอมบี้ไป เพราะชอบ เพลงนี้แล้วก็เล่นเพลงนี้ได้อยู่แล้ว แคสต์กันอยู่ 6 ชั่วโมงได้ สุดท้ายพี่หมูก็มา บอกว่าเขาเลือกเราค่ะ

 “ตอนรู้ผลดีใจมากที่ได้เล่นเรื่องนี้ เพราะแนทเป็นคนที่ฟังเพลง เล่นดนตรี แล้วก็ชอบทางด้านดนตรีอยู่แล้วด้วย ส่วน คุณพ่อก็ ดีใจไม่แพ้กัน ครั้งนี้สนับสนุนใหญ่เลยค่ะ เห็นว่าเป็นหนังเกี่ยวกับดนตรี แล้วที่สำคัญเป็นดนตรีร็อกด้วย ยิ่งตรงทาง คุณพ่อเลย โดนใจคุณพ่อมากๆ ค่ะ” แนทเท้าความให้ฟังด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข



เคยห่วยมาก่อน
 

 เมื่อรู้ว่าแนทคือลูกสาวของใคร คนส่วนใหญ่มักวาดภาพว่าเธอต้องเติบโตมากับ การซ้อมกีตาร์ตั้งแต่เด็กๆ โดยมีคุณพ่อช่วยถ่ายทอดวิชาให้ ผู้สัมภาษณ์เอง ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน จึงขอให้เธอเล่าให้ฟัง ปรากฏว่า คำตอบที่ได้รับกลับผิดไป จากที่คาดไว้อย่างมาก เพราะความทรงจำ ของเธอในอดีต แทบไม่มีกีตาร์ อยู่ในนั้นอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ แต่แนทกลับใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับ เกมคอมพิวเตอร์เสียมากกว่า ทั้งยังยอมรับว่าตัวเองเป็นคนติดเกม ขั้นหนัก และเพิ่งตัดใจ เลิกเล่นได้ หลังจากเริ่มถ่ายภาพยนตร์ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง


 

 “ก่อนหน้านี้แนทบ้าเล่นเกมมาก ติดเกมคอมพิวเตอร์ พวก Ragnarok หรือ Pangya เล่นหมดเลยค่ะ คุณพ่อก็มีเตือนๆ อยู่เหมือนกันว่าไม่ฝึก เล่นกีตาร์ บ้างเลยเหรอ แต่เราก็ยังเล่นเกมต่อไป เลิกโรงเรียนเมื่อไหร่ ก็จะรีบกลับบ้าน มาเล่นเกม ไม่ออกไปเที่ยวที่ไหนกับเพื่อนๆ เลย กีตาร์ที่เคยเล่นอยู่บ้างก็ทิ้งไปเลย เหมือนกัน แต่ตอนนี้เลิกแล้วค่ะ เพิ่งเลิก เมื่อประมาณกลางๆ ปีที่แล้ว เหมือนกับว่าพอได้ถ่ายหนัง ได้ทำงาน ก็เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองชอบงาน ในวงการมากกว่า เลยเลิกเล่นเกมไปเลย แล้วตอนนี้ชีวิตก็เปลี่ยนไป เยอะเลยค่ะ

 เรื่องที่น่ายินดีที่สุดสำหรับ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการทำให้คุณพ่อภูมิใจ แนทบอกว่าก่อนหน้านี้เธอไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้น เป็นอันมาก่อน กระทั่ง เลิกเล่นเกมและหันมาเอาดีเรื่องกีตาร์และงานแสดง จึงรับรู้ว่า การเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับ ตัวเอง ทำให้พลาดเรื่องดีๆในชีวิต ไปหลายอย่าง ถ้าจะกล่าวว่ากว่าจะคิดได้อย่างทุกวันนี้ เธอเคยผ่าน เรื่องผิดพลาด ผ่านประสบการณ์ห่วยๆ มาก่อน คงถือเป็นคำพูดที่ไม่ผิดนัก

 

 

“พอได้หันหน้าออกมาจากคอมพิวเตอร์ ได้ใช้ชีวิตจริงๆ ถึงรู้สึกว่าชีวิตจริง กับในเกมมันเป็นคนละเรื่องกันเลยนะ แนทว่าพวกที่ เล่นเกมส่วนใหญ่ จะเป็นพวกเพ้อฝันแต่ไม่ลงมือทำ แนทเองก็เคยเป็น ในเกมมันจะมีชอปปิ้ง ซื้อของ ให้เราได้แต่งตัวให้หุ่นเพลินๆ ตอนเล่นก็สนุกดีค่ะ แต่พอมอง กลับไปตอนนี้กลับรู้สึกว่าเกมมันก็เป็น แค่โลกแคบๆ โลกหนึ่ง เท่านั้นเอง พอเราหลุด ออกมาจากตรงนั้นได้ แนทรู้สึกได้เลยค่ะว่า คุณพ่อภูมิใจในตัวเรามาก ยิ่งได้เห็นเราหันมาเล่นหนังและที่สำคัญ คือได้กลับมาจับกีตาร์ หัดเล่นหัดซ้อมแบบจริงจัง คุณพ่อดีใจมาก จนถึงขนาดให้กีตาร์แนทเป็นของขวัญ ซึ่ง เป็นกีตาร์ตัวที่คุณพ่อ รักมาก เก็บมาประมาณ 10 ปี ไม่ยอมเอาออกมาเล่น แต่เขายกกีตาร์ตัวนั้น ให้เรา ก็รู้สึกภูมิใจค่ะ เหมือนกับเราได้กลับมาทำสิ่งที่เขาหวังไว้ให้สำเร็จ อีกครั้งหนึ่ง”


 

แต่ความจริงแล้วพวกเขาไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังทำร้ายตัวเองอยู่ ในฐานะคนเคยติดเกมและเข้าใจหัวอกพวกเดียวกันดี แนทขอฝาก ความห่วงใยเอาไว้ว่า “เด็ก เล่นเกมส่วนใหญ่มักจะฝันว่าอยากเป็น โปรแกรมเมอร์ อยากทำเกมนั้นขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ว่าเราเล่นเกม ไปเรื่อยๆ จนได้เลเวลสูงๆ ขึ้นไป จะช่วยให้มีความสามารถในการสร้างเกมได้นะ คนที่ทำเกมจริงๆ แล้วเขาต้องมีความรู้เยอะมาก เรียนมาเยอะ กว่าจะ สร้างภาพออกมาอย่างที่เห็นในเกม แต่ถ้าอยากเล่นจริงๆ ก็เล่นได้ค่ะ แต่ขอให้เล่นตอนที่มีเวลาว่าง เล่นหลังเวลางาน เป็นการผ่อนคลาย จากความเครียดที่สะสมมาหลายวัน แต่ต้องฟิกซ์เวลาด้วย แค่วันละ 2 ชั่วโมงก็พอค่ะ เพราะถ้าไม่กำหนดก็จะไหลไปเรื่อย หยุดเล่นไม่ได้หรือถ้า เป็นไปได้ อยากให้เจียดเวลาไปอ่านหนังสือหรือ เล่นดนตรีบ้างน่าจะดีกว่าค่ะ” เธอแนะนำจากประสบการณ์ตรง

เลือดศิลปินพลุ่งพล่าน

  ถึงแม้แนทจะทิ้งการเล่นกีตาร์ไป นาน และเพิ่งหันกลับมาเอาดีด้านดนตรี อย่างจริงๆ จังๆ ได้ไม่กี่เดือน แต่เลือดศิลปินที่มีอยู่ในตัวของเธอก็ไม่เคย หนีหายไปไหน เรียกได้ว่าฉายแววเด่นชัดมาตั้งแต่สมัยยังไม่ได้จับกีตาร์ ด้วยซ้ำ เพราะเธอ เป็นเด็กกิจกรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำมาหมด แล้วตั้งแต่ถือป้ายโรงเรียน เป็นดรัมเมเยอร์ ไปจนถึงการเป็น ตัวแทนประกวดเต้น แต่ท้ายที่สุดก็มาลงเอยที่เส้นทางดนตรี ไม่ต่างไปจากคุณพ่อของเธอเลย ต้องบอกว่าเชื้อศิลปินไม่ทิ้งแถว จริงๆ


  “ทำกิจกรรมโรงเรียนเยอะเหมือนกันค่ะ ทั้งๆ ที่เป็นคนค่อนข้างขี้อาย ตั้งแต่เด็กๆ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ชอบมาก แล้วก็ไม่อายด้วยก็คือเวลาได้ขึ้น เวทีรำค่ะ เคยเป็นนางรำครั้งแรก ตั้งแต่อยู่ป.2 ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงชอบ แต่รู้สึกว่าทุกครั้งที่ได้รำจะมีความสุข ยิ่งวันไหน ได้เพลงที่ออกแนวเซิ้งๆ หน่อย ยิ่งสนุกใหญ่เลย (หัวเราะ) แต่พอเริ่มโตก็จะไม่ค่อยได้รำเท่าไหร่ค่ะ กลายเป็นการตั้งวงดนตรี กับเพื่อนๆ แทน ตอนนั้นเป็นช่วงเพิ่งย้ายโรงเรียนเข้าไปใหม่ๆ เพื่อนผู้ชายที่เขามีวงของตัวเองอยู่แล้วก็มาชวนเรา เห็นว่าเราเป็นลูกคุณพ่อ คิดว่าต้องรู้เรื่องดนตรีแน่ๆ เลยจับแนทไปร้องเพลง ปรากฏว่าร้องได้ไม่ กี่ครั้งก็เลิกเพราะเราไปติดเกมมากกว่า อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละค่ะ (ยิ้ม)”



 

ถึงแม้สุดท้ายจะต้องแยกวงกันไป แต่ยังถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่สูญเปล่าเสียทีเดียว เพราะอย่างน้อยการรวมวงกันครั้งนั้น ก็ช่วยจุดประกายความสนใจด้านดนตรีให้แก่ แนท จากที่เคยชอบฟังเพลงอย่างเดียว เธอหันมาลองหัดเล่นดูบ้าง กระทั่งค้นพบว่ากีตาร์ไฟฟ้าเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสน่ห์และสะท้อนตัวตนของ เธอออกมาได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับ บรรดาเครื่องเล่นชนิดอื่นๆ ที่เคยลองมาก่อนหน้านี้


 

“แนทเคยเล่นเปียโน ไวโอลิน แล้วก็กลองมาก่อนค่ะ ตอนที่เล่นกลองไม่ได้หัดจนถึงขั้นเทพ แค่เคยหัดตีเป็นจังหวะดู แล้วก็เลิกเล่นไปเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรา รู้สึกว่ามันต้องใช้แรงเยอะ แล้วตัวเราก็ผอมๆ ด้วย ส่วนเปียโนก็เคยเรียนเหมือนกันค่ะ คุณพ่อบอกให้ลองเรียนดู แต่รู้สึกว่ามันนุ่มนิ่มเกินไป เรียนได้แป๊บเดียวก็เลิกไปเพราะไม่ชอบ ที่เล่นได้นานที่สุดคงจะเป็น ไวโอลินค่ะ เคยเล่นอยู่ 2 ปี ตอนอยู่วงโยธวาทิต ม.ต้น ช่วงนั้นวาเนสซา เมย์ กำลังดัง รู้สึกว่าเขาเจ๋งดีก็เลยหัดเล่นตาม เล่นได้สักพักก็รู้ว่าเราไม่ได้ชอบจริงๆ แค่ตามกระแสนิยมแค่นั้นเอง ก็เลยเลิกเล่นไป เท่าที่ลองมาทั้งหมดคิดว่ากีตาร์ไฟฟ้า นี่แหละค่ะ เหมาะกับเราที่สุด คิดว่าเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล เล่นได้หลากหลายแนวมาก แล้วแต่ละแนวก็ให้อารมณ์ต่างกันไปด้วย ชอบที่สุดแล้วค่ะ


เกิดเป็นลูกสาวกีตาร์คิงส์

 

แม้จะยังไม่ได้เป็นร็อกเกอร์แบบเต็มขั้นอย่างคุณพ่อ แต่แนทก็ซึมซับ ดนตรีร็อก มาไว้กับตัวไม่น้อยเหมือนกัน เธอบอกว่าชอบฟังเพลงแนวนี้ มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์ร็อก ฮาร์ดร็อก ฟังได้หมด ขอให้มีคำ ว่าร็อกอย่างเดียวเป็นพอ ถาม ว่าที่ตอบอย่างนี้เป็นเพราะต้องการโปรโมต ภาพยนตร์ ร็อกวัยรุ่นรักวัยเรียนที่ กำลังเข้าฉายอยู่หรือเปล่า เธอยิ้มและ หัวเราะเบาๆ พร้อมกับยืนยันให้ฟังชัดๆ อีกครั้งว่า“ชอบเพลงร็อกอยู่แล้ว จริงๆ ค่ะ ส่วนเรื่องฝีมือในการเล่นกีตาร์ก็พอเป็นบ้าง แต่ยังไม่ถึง ขนาดโซโล่ยับขั้นเซียนแบบคุณพ่อนะ (ยิ้ม)” คนที่เคยดูคอนเสิร์ต ของแหลม มอริสัน คงรู้ดีว่าแนทมีความร็อกอยู่ในตัว มากขนาดไหน เพราะเธอเคยฝากลีลา บนเวทีคู่กับคุณพ่อเอาไว้หลายครั้งอยู่ เหมือนกัน แม้เจ้าตัวจะออกตัวว่า ไม่ได้เรื่องขนาดไหนก็ตาม


 

 “เคยขึ้นไปร้องเพลงบนเวที กับคุณพ่อค่ะ จำได้ว่าร้องเพี้ยนมาก (หัวเราะแบบเขินๆ) คือแนทเป็นพวกที่จะตื่นเต้นมากเวลาขึ้นเวที น่ะค่ะ แล้วก็จะร้องเพี้ยนประจำเลย จริงๆ แล้วเคยขึ้นเวทีแบบนี้ ตั้งแต่ประมาณ 6-7 ขวบแล้วค่ะ แต่ตอนเด็กๆ ยังไม่รู้สึกตื่นเต้น เท่าไหร่ สนุกๆ มากกว่า เพราะเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังซ้อมหรือว่าแสดงอยู่ แค่รู้สึกว่าต้องขึ้นไปร้องเพลงให้คนอื่นฟัง จำได้ว่าเคยขึ้นไปร้องเพลง “เล่นอะไรก็ไม่รู้...บ้า” แล้วก็เต้นกับคุณพ่อด้วย (ยิ้ม) แต่พอโตกว่านั้น แล้วขึ้นเวทีอีกครั้ง กลับรู้สึกเขินกว่าตอนเด็กๆอีก อายุได้สัก12 ปี ก็จะเริ่มอายแล้ว เริ่มรู้สึกว่าไม่กล้าแล้ว คุณพ่อบอกให้ขึ้นร้อง ก็จะเริ่มเกี่ยง แต่ก็ยังแสดงบ้างเหมือนกันค่ะ




  ถามว่าเธอเคยรู้สึกกดดันบ้างไหม ที่ถูกใครต่อใครเรียกว่าลูกสาวกีตาร์คิงส์ โดยเฉพาะความคาดหวังของสังคมที่มักวาดภาพ ว่าเธอต้องเล่นกีตาร์เก่งขั้นเทพ โดยเอาฝีมือชั้นครูของคุณพ่อมาเป็นบรรทัดฐานตัดสิน เกี่ยวกับเรื่องนี้แนท ยอมรับว่าเธอเอง ก็เคยรู้สึกกดดันอยู่เหมือนกันเมื่อต้องถูกนำไปเปรียบเทียบ เรื่องกีตาร์ แต่ไม่เคยเก็บเอามาคิดจนเกิดอารมณ์ น้อยใจ ตรงกันข้ามกลับภูมิใจเสียมากกว่าที่ได้รู้ว่าคนอื่นๆ ยกย่องให้คุณพ่อของเธอเป็นตำนานของเมืองไทย

 

“ถ้าถามว่ากดดันไหมที่ถูกเรียกว่าเป็นลูกกีตาร์คิงส์ คงไม่กดดันหรอกค่ะ รู้สึก ภูมิใจมากกว่าที่ได้เกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อ ที่เจ๋งที่สุด ถ้าเป็นเรื่องกีตาร์นี่ต้องยกให้คุณพ่อจริงๆ ค่ะ รู้สึกภูมิใจในตัวคุณพ่อแล้วก็ภูมิใจที่ใครๆ เรียกคุณพ่อ ว่ากีตาร์คิงส์ แล้วก็เรียกแนทว่าลูกกีตาร์คิงส์ แนทรู้สึกว่าคุณพ่อแนทเจ๋งที่สุดในโลกเลยค่ะ (ยิ้ม) ส่วนเรื่องที่คนอื่น อาจจะมองว่าเราเป็นลูกคุณพ่อแล้วต้องเล่นกีตาร์เก่ง แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เก่งขนาดนั้น ก็อาจจะทำให้รู้สึกกดดันอยู่บ้าง เหมือนกันค่ะ เพราะแนทก็แค่พอเล่นเป็นเพลงได้บ้าง แต่ไม่ได้เฟี้ยวฟ้าวอย่างคุณพ่อ ต้องขอเวลาอีกสักปี 2 ปีค่ะ แล้วจะฝึกให้เทพ (หัวเราะ)” แนทปิดประโยคด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่ถ้าให้วัดจากความมุ่งมั่นที่สะท้อนออกมาทางแววตา ของเธอแล้ว เดาว่าน่าจะเป็นเรื่องจริงเสียมากกว่า

ถาม

บ้านสองหลังในพัทยา

  เมื่อพูดถึงครอบครัว เรื่องราวที่ออกจากปากของเธอมักเกี่ยวข้องกับคุณพ่อ เสียเป็นส่วนใหญ่ ทีมงานจึงขอให้แนทพูดถึงบุคคลสำคัญอีกท่านหนึ่ง ในชีวิตของเธอบ้าง ทำให้ทราบว่าหนึ่งสาเหตุที่คุณพ่อกลายเป็น เพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตของแนท เป็นเพราะครอบครัวของเธอ แยกทางกันนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาววัย 19 ปีคนนี้ก็ไม่ได้ มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปมด้อยในชีวิตแม้แต่น้อย เธอเล่าเรื่องราว ต่างๆ ให้ฟังด้วยรอยยิ้ม โดยไม่มีท่าทีกระอักกระอ่วนใจหลุดออกมา ให้เห็นแต่อย่างใด เราจึงได้รับรู้อีกด้านหนึ่งของชีวิตเธอซึ่งไม่ได้ ถูกกล่าวถึงบ่อยนัก


 

 “คุณแม่เป็นผู้จัดการโรงแรมอยู่ที่พัทยาเหมือนกันค่ะ แต่แยกกัน อยู่กับคุณพ่อ เวลากลับไปที่นั่นก็จะแวะไปหาคุณแม่บ้าง อาทิตย์ละครั้ง ไปกินข้าว ชอปปิ้งเป็นปกติตามประสาแม่ลูก ล่าสุด ที่หนังโปรโมตคุณแม่ก็มาค่ะ แต่ส่วนใหญ่เราจะเจอกันในงาน สำคัญๆ มากกว่า คนอื่นๆ เลยอาจจะไม่ค่อยเห็นแนทอยู่กับคุณแม่ เท่าไหร่ แล้วแนทก็สนิทกับคุณพ่อมากกว่าด้วย อาจจะเป็นเพราะ คุณแม่ดุกว่าคุณพ่อด้วยมั้งคะ (ยิ้ม) ส่วนเรื่องพี่น้อง แนทมีพี่สาว คนเดียวชื่อพี่เจี๊ยบ แต่เป็นพี่สาวคนละแม่ค่ะ คือคุณพ่อเลิกกับคุณแม่พี่เจี๊ยบ ไปแล้ว คุณพ่อถึงได้มาพบกับคุณแม่ของแนท ทุกวันนี้เราก็สนิทกันดี พี่เจี๊ยบเขาจะรักแนทเหมือนลูกเลยค่ะ”




 

ตัดสินจากมาดร็อกเกอร์จัดจ้านของคุณพ่อแล้ว วาดภาพไม่ออกเลยว่าจะให้คำปรึกษาเรื่องความสวยความงาม หรือพูดคุย เรื่องต่างๆ ที่ลูกสาววัยรุ่นอยากรู้ได้อย่างไร เดาว่าความแตกต่างระหว่างวัยและนิสัยแบบผู้ชายในตัวคุณพ่อ อาจส่งผลให้เกิด ระยะห่างระหว่างพ่อกับลูกอยู่บ้าง แต่คำตอบที่ได้จากลูกสาวกลับต่างจากที่คาดไว้อย่างสิ้นเชิง แนทบอกว่าเธอเข้ากับคุณพ่อ ได้ทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องแฟชั่นวัยรุ่นๆ ของลูกสาว


 

“เวลาอยู่ด้วยกัน กิจกรรมที่ทำบ่อยที่สุดคงเป็นการชอปปิ้งมั้งคะ เพราะคุณพ่อเป็นคนชอบเดินห้างมาก แล้วก็จะลากเรา ไปด้วยตลอด นี่แหละค่ะที่ทำให้เราเข้ากันได้ แล้วเวลาเลือกชุด เราก็จะช่วยกันเลือก ผลัดกันใส่ ผลัดกันดู แนทจะถามคุณพ่อว่าใส่ชุดนี้ดีไหมป๊า คุณพ่อก็จะบอก เสร็จแล้วคุณพ่อก็ถามเรากลับ แล้วป๊าล่ะเป็นไงมั่ง ก็จะช่วยกันเลือกแบบนี้ตลอดเลยค่ะ (ยิ้ม) เห็นคุณพ่อไว้หนวดไว้เครา เป็นคนหน้าเข้มๆ แบบนั้น คนอื่นอาจจะคิดว่าเป็น คนดุ แต่จริงๆ แล้วคุณพ่อใจดีมากนะคะ คุณพ่อไม่เคยตีแนทเลยสักครั้งหนึ่ง แต่เขาจะเข้าใจแล้วก็คุยกับเราด้วยเหตุผล แนทคิดว่าในโลกนี้คุณพ่อใจดีที่สุดแล้วค่ะ รู้สึกว่าคุยกับเขาได้ทุกเรื่องเลย



 แกะดำในรั้วพาณิชย์
 

ย้อนกลับไปเมื่อสองปีที่แล้ว ถ้า ได้ติดตามข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์จะพบชื่อ “ณัฐชา นวลแจ่ม” ปรากฏอยู่ ในฐานะผู้ที่ได้รับรางวัลบุคลิกภาพ ดีเด่นฝ่ายหญิง บนเวทีประกวดสุดยอดคนพันธุ์อา ปีที่ 4 ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เวทีแห่งนี้จัดขึ้นเพื่อสร้างค่านิยมใหม่ๆ ให้แก่เด็กอาชีวะ ให้คนทั่วไป ยอมรับว่าเยาวชนกลุ่มนี้ยังมีความ สามารถในอีกหลายๆ ด้านที่น่าเชิดชู นอกเหนือไปจากข่าวยกพวกตีกัน ซึ่งมีให้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์จนหลายคน เคยชิน ถามว่าเธอรู้สึก อย่างไรที่คนในสังคมมักจะตัดสินแบบเหมารวม มองว่าสถาบันดังกล่าวเป็นแหล่งซ่อมสุมของเด็กเกเร ในฐานะที่เป็น เด็กอาชีวะคนหนึ่ง แนทจึงขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้เอาไว้


 

 “แนท คิดว่ามันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะว่าเขาจะมองเด็กอาชีวะเป็นยังไง แต่สำหรับแนท แนทมองว่ามันอยู่ที่ตัวเรามากกว่าค่ะ ถึงแม้เราเรียนอาชีวะ มันก็ไม่จำเป็นว่าเราต้องไปตีกับเด็กช่างกลนะ ถ้าเกิดเราทำตัวดีๆ ไม่ได้ไป มีเรื่องกับใคร ก็จะอยู่อย่างสงบได้ แล้วเท่าที่เห็น ก็ไม่เห็นว่าเพื่อนๆ จะไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครเลยนะคะ แนทว่า การเรียนในโรงเรียน อาชีวะจะเน้นไปทางปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี เพราะฉะนั้นคนที่ลงเรียนส่วนใหญ่ คือคนที่เรียนเพื่อไปประกอบอาชีพ เขาคงไม่ได้มาเรียนกันเพราะอยากเป็น นักเลงกันหรอกเนอะ (ยิ้ม)” คำตอบของเธอ เล่นเอาคนสัมภาษณ์พยักหน้าตาม ไปด้วยแทบไม่ทัน

 

 

นอกจากจะต้องถูกเหมารวมว่าเป็น แกะดำในสังคมบางครั้งบางคราว สาวพาณิชย์อย่างเธอยังถูกมองว่าแปลกแยกจากเพื่อนๆ ในรั้วโรงเรียนเดียวกันด้วย เพราะรูปแบบการใช้ชีวิตของแนทแตกต่างจากคนในสถาบันเดียวกันอย่างชัดเจน ทำให้คนอื่นๆ เรียกเธอว่าลูกคุณหนู จนถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนเย่อหยิ่ง กว่าเพื่อนๆ จะเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเธอได้ เล่นเอาแทบแย่ไปเหมือนกัน


 

เด็กพาณิชย์ส่วนใหญ่พ่อแม่จะไม่ได้ไปรับไปส่งค่ะ เห็นเขาขับรถไปเองบ้าง ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรียนก็มี แต่เรามี คุณพ่อไปรับไปส่งที่โรงเรียนตลอด เลยกลายเป็นลูกคุณหนูในสายตาคนอื่นไปโดยปริยาย เพื่อนของแนทส่วนใหญ่ ก็เลยเป็นผู้ชายค่ะ เพราะเพื่อนผู้ชายจะไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่เพื่อนผู้หญิงพอคิดว่าเราเป็นลูกคุณหนู อาจจะคิดว่าไม่คบด้วยดีกว่า แต่ตอนนี้เพื่อนๆ เข้าใจแนทแล้วเราก็สนิทกันเป็นปกติค่ะ เขาบอกว่า ที่ไม่กล้าเข้ามาคุยด้วยตอนแรกๆ เพราะกลัวว่า เราจะหยิ่ง แต่พอได้รู้จักกันจริงๆ จะรู้ค่ะว่าแนทเป็นคนเป็นกันเองมากนะ ไม่ได้เป็นลูกคุณหนูเหมือนบุคลิก ภายนอกที่เห็น” พูดจบประโยคแนทก็แจกยิ้มกว้างอย่างจริงใจ พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นกันเองของเธอ

ครั้งแรกของน้องแนท

  “ไม่มีคำไหนจะอธิบายได้เลยค่ะ รู้สึกว่าเป็นอะไรที่เหมือนฝัน มากๆ ตอนนี้ยังรู้สึกว่าตัวเองฝันอยู่เลยนะ (หัวเราะ) มันเป็นอะไร ที่แบบ... (สูดหายใจเข้าอย่างช้าๆ แล้วปล่อยออกมาเป็นคำพูดว่า) ไม่มีคำบรรยายเลยค่ะ เจ๋งมากจริงๆ” ทั้งหมดนี้คือความรู้สึกของแนท ที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต เธอรู้สึก ว่าโอกาสวิ่งเข้ามาหาอย่าง รวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด และแม้จะ พยายามเตรียมพร้อมเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกตื่นเต้นมาจากภายในก็ไม่ได้ลดลงเลย ตรงกันข้ามกลับ ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ถ้าไม่เชื่อลอง ให้เธอเล่าประสบการณ์ การถ่ายทำ ฉากแรกในชีวิตให้ฟัง แล้วจะรู้ว่าอาการ ประหม่ามีอยู่จริง


 

 “จำได้เลยค่ะ ครั้งแรกที่เข้าฉากกับเก้าเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เป็นการ ถ่ายทำครั้งแรกในชีวิตด้วย ฉากนั้นพูดแค่ 2 ประโยคสั้นๆ ค่ะ พูดว่า “เป็นยังไงบ้าง เราสวยไหม” ประมาณนี้ แนทก็ท่อง 2 ประโยคนี้ พูดวนอยู่นั่นแหละก่อนเข้าฉาก แล้วก็ตัวสั่นไม่ยอมหยุดเลย เกร็งมาก พอถ่ายจริงปรากฏว่า 2 ประโยคที่ท่องเอาไว้ ดันพูด สลับกันอีก (หัวเราะ) อายมากเลยค่ะ”

 


 

ที่ตื่นเต้น เป็นเพราะความฮอตของ "เก้า จิรายุ ละอองมณี" พระเอกของ เรื่องด้วยหรือเปล่า? หลังได้ยินคำถาม แนทนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนแจกยิ้ม และให้คำตอบว่า “อาจจะใช่ส่วนหนึ่งค่ะ…” และก่อนที่จะเข้าใจผิดกัน ไปใหญ่โต เจ้าของคำตอบก็ค่อยๆ ขยายความให้ฟัง “ด้วยความที่เขา เป็นเก้า จิรายุ เขามีประสบการณ์การทำงานมากกว่าเรา แนทก็พยายาม บอกกับตัวเองอยู่ตลอดเลยค่ะว่าเราจะเป็นตัวถ่วงไม่ได้นะ ก็แอบ กลัวว่าต้องให้เขามานั่งรอเราหรือเปล่า แต่พอได้คุยกัน เข้าบท
ด้วยกัน เก้าก็จะสอนว่าต้องทำยังไง
แล้วเวลาสอนเขาก็ไม่ได้ใส่อารมณ์ ว่าเราชักช้าหรืออะไร ก็ให้กำลังใจดีค่ะ รู้สึกว่าเป็นอะไรที่เจ๋งมากเลยค่ะที่มี เพื่อนร่วมงานที่เข้าใจ ก็เลยผ่านมาได้”



 

นอกจากต้องรับแรงกดดันเมื่อร่วม งานกับนักแสดงมืออาชีพแล้ว แนทยังมีฉาก ร้องไห้ให้หนักใจเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะถึงแม้จะพยายามเค้นน้ำตา ออกมาเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาของร่างกายจะไม่ให้ความร่วมมือแม้แต่ นิดเดียว แต่เมื่อผู้กำกับเดินเข้าไปพูดกับเธอเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น แนทถึงกับน้ำตาร่วงไม่ยอมหยุดเลยทีเดียว


 

 “ตอนเรียนแอ็กติ้งคิดว่ายากแล้วนะคะที่ต้องบีบน้ำตา แต่ก็ยังพอทำได้อยู่ พอเข้าฉากจริงๆ ยิ่งแย่กว่าอีก ตอนนั้นรู้สึกกดดันมาก ถ่ายไปหลายเทกแล้ว ยังร้องให้ไม่ออกเลย ทั้งกองต้องรอเราคนเดียว คนอื่นๆ ในกองเขาก็เดินเข้ามาคุย เข้ามาแหย่เรา บอกว่า หมดเวลาแล้วนะ บางคนก็ทำท่าดูนาฬิกาหลายครั้งมาก คือเขาตั้งใจแกล้งเรา คิดว่าถ้ากดดันเรามากๆ แล้วเราจะร้องไห้แต่ทำยังไง แนทก็ร้องไม่ออกเลยค่ะ สักพักหนึ่งพี่หมู ผู้กำกับ เดินมาหา เข้ามาถามเรา ด้วยความเป็นห่วงว่า เป็นยังไงบ้างแนท เท่านั้นแหละค่ะ ร้องไห้เลย เหมือนเรารู้สึกว่าพี่หมูเป็นคนเดียวที่เห็นใจเรา น้ำตาก็เลยไหลออกมา โดยอัตโนมัติ พอเห็นเราร้องไห้เท่านั้นแหละ พี่เขาวิ่งกลับไปหน้ามอนิเตอร์ แทบไม่ทันเลยค่ะ สั่งให้ถ่ายทำต่อทันที เพราะฉะนั้นคนที่ไปดูหนัง แล้วเห็นฉาก ที่แนทร้องไห้ จริงๆ แล้วไม่ได้ร้องไห้เพราะในเรื่องนะ แต่ร้องไห้เพราะพี่ผู้กำกับ นี่แหละค่ะ (หัวเราะ)”



 อนาคต... มือถือไมค์ ไฟส่องหน้า
 

เคมีเข้ากับพระเอกหนุ่มไฟแรงได้ ขนาดนี้ เชื่อว่าหลายคนคงแอบส่งเสียงเชียร์ ให้ได้ร่วมงานด้วยกันอีก ถ้าไม่ได้เจอกันในจอหนัง อาจได้เจอกันในจอทีวี วันข้างหน้า เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นนางเอกจีทีเอชแล้วล่ะก็ รับรองว่าเนื้อหอมไม่แพ้ นางเอกรุ่นพี่อีกหลายๆ คนที่ถูกเสนอให้เซ็นสัญญามีสังกัดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถามว่านาง เอกหน้าใหม่อย่างเธอคาดหวังว่าภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต จะช่วย ปูทางในวงการ ได้มากน้อยแค่ไหน แนทบอกว่าขอให้แล้วแต่โอกาสที่เข้ามา ก็แล้วกัน


 

“ไม่ได้คาดหวังว่าจะดังค่ะ แต่คาดหวังว่าคนดูจะชอบหนังเรื่องนี้ เพราะเราก็ทำ เต็มที่ ทำเต็มความสามารถ ก็คาดหวังว่าอยากให้ทุกคนชอบผลงานค่ะ ส่วนงานชิ้นนี้จะเป็นบันไดปูทางไปสู่งานในวงการอื่นหรือเปล่า คิดว่าคงมีส่วนค่ะ ตอนนี้แนทเพิ่งเล่นหนังเรื่องแรกในชีวิต ยังไม่เคยลองงานอื่น ยังไม่เคย ลองเล่นละคร ไม่เคยเดินแบบ ยังไม่เคยทำหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้น ถ้ามีโอกาสก็อยากลองทำทุกอย่างเลยค่ะ จะได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วเราเหมาะ กับอะไร หรืองานประเภทไหนมากที่สุด”

 

 

“ส่วนเรื่องเรียน คิดอยู่ค่ะว่าจะต่อนิเทศฯ พอได้ทำงานในวงการมันทำให้แนทรู้ตัวว่าจริงๆ แล้วเราชอบอะไร ส่วนที่เรียน คอมพิวเตอร์กราฟิกอยู่ตอนนี้ อยากให้เป็นงานอดิเรกไป และคิดว่าน่าจะช่วยเสริมด้านนิเทศฯ ได้ แนทว่าวงการบันเทิง เป็นอะไรที่น่าค้นหาดีค่ะ ตอนนี้ก็มีอีกหลายต่อหลายอย่างที่แนทยังไม่รู้อีกเยอะ อยากเรียนรู้ทุกอย่างเลย รวมทั้งงานเบื้องหลังด้วย


 

 ถ้าให้เลือกได้แค่อย่างเดียว อยากให้ผลงานชิ้นแรกชิ้นนี้ปูทางไปสู่งานประเภทไหน? เรายิงคำถามสุดท้ายออกไป ก่อนปล่อยให้แนทนิ่งคิดสักพักเพื่อบอกความต้องการที่แท้จริง “แนทอ ยากเป็นศิลปินค่ะ อยากทำงานด้านเพลง และถ้าได้ เป็นนักร้อง คงอยากทำเพลงแนวป็อปร็อก แต่ตอนนี้ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ ยังอยากเรียนดนตรี เรียนกีตาร์ ให้เก่งกว่านี้ก่อน แล้วถ้ามีโอกาส จะฟอร์มวงหรือเป็นนักร้องเดี่ยว คงต้องคิดอีกทีค่ะ” เอาล่ะ... เจ้าของค่ายเพลง ทุกท่านฟังเอาไว้

ก่อนเข้ามาจีบ กรุณาเตรียมตัวซักซี้ดนึง!!

  ถามเรื่องสเปกหนุ่มๆ กับมุมมองเรื่องความรัก เจ้าตัวกลับบอกปัดว่ายังเด็ก อยู่ จึงไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเหล่านี้เท่าใดนัก ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเธอเข็ดหลาบ จากประสบการณ์ถูกจีบเมื่อครั้งเริ่มแตกเนื้อสาวหรือเปล่า ถึงได้ค่อนข้าง ระมัดระวังตัวในเรื่องนี้ หนุ่มๆ คนไหนหมายตาเธอคนนี้เอาไว้ แนะนำว่าอย่าใช้วิธีจีบแบบนี้ก็แล้วกัน


 

“มีคนมาจีบบ้างเหมือนกันค่ะ แต่ส่วนใหญ่คบกันเป็นเพื่อนมากกว่า เคยมีแบบเอาจดหมายมาสอดไว้ใต้โต๊ะบ้าง แต่เล่นกีตาร์จีบนี่ ยังไม่มีนะ (หัวเราะ) ที่ดูแปลกที่สุดคงเป็นคนที่ขโมยสมุดการบ้านแนทไป ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเขาเอาไป ตอนอาจารย์แจกสมุดคืนแล้วเรา ไม่ได้คืนก็คิดว่ามันหายไปเฉยๆ ตอนนั้นอาจารย์ก็บ่นใหญ่เลยว่าสมุดหาย ไปไหน จนเราถูกสั่งให้ไปคัดเล่มใหม่มาหมดทั้งเล่มเลย เหนื่อยมากค่ะ เรียนไปจนจะจบเทอมอยู่แล้ว วันหนึ่งสมุดเล่มเก่าก็โผล่มาอยู่ใต้ ลิ้นชัก พอเปิดดูก็มีข้อความอะไรบางอย่างเขียนอยู่ในนั้น ประมาณว่าบอกรักเรา แล้วเขาก็เขียนชื่อตัวเองเอาไว้ด้วย เขาคงคิดว่ามันเป็นวิธีที่โรแมนติกแล้วมั้งคะ ที่ไหนได้มันทำให้ แนทโกรธมาก ไม่พูดกับเขาอีกเลย แอบคิดว่าเขาเป็นโรคจิต ด้วยซ้ำ (หัวเราะ)”


 

ถ้าอยากจีบแนทให้ติดจริงๆ แนะนำให้พาเธอไปเที่ยวน้ำตกดูสักครั้ง เพราะเธอกระซิบบอกมาว่าเป็นคนชอบน้ำตกและอยากไปเที่ยวมาก แต่ทุกครั้งที่ไปเจอ มักจะเหลือให้เห็นแค่ธารน้ำแห้งขอดอยู่เสมอ จนกลายเป็นปมฝังใจไปแล้วว่าอยากเห็นน้ำตกสวยๆ สักครั้งหนึ่ง ในชีวิต เหล่าเนวิเกเตอร์ทั้งหลายทราบแล้วปฏิบัติ



 

* ดูประวัติ แนท ณัฐชา นวลแจ่ม

* ดูอัลบั้มรูป แนท ณัฐชา นวลแจ่ม


 
 

Box Office

เรื่อง
ล่าสุด
รวม
1.
2.
3.
4.
5.
เรื่อง
ล่าสุด
รวม
1.
2.
3.
4.
5.

บทสัมภาษณ์ทั้งหมด

 
 
 

ติดตามหนังดี : Youtube Instagram Facebook Twitter  

MMM Digital Asset Co.,Ltd.
109 อาคารซีซีที ชั้น 2 ถนนสุรวงศ์
แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
Tel. 0-2234-7535    FAX. 0-2634-4269
E-mail: webmaster@nangdee.com   © 2006 nangdee.com
แผนที่ | sitemap | ติดต่อโฆษณา