Top
ธนิดา ธรรมวิมล


      สัมภาษณ์ 7 ปีกับการเดินทางที่แสนพิเศษของ "ดา เอ็นโดรฟิน"

      เป็นนักร้องเสียงคุณภาพที่เดินทางบนถนนสายดนตรีมานานกว่า 7 ปีเต็ม สำหรับสาวร่างเล็ก ดา-ธนิดา ธรรมวิมล หรือ "ดา เอ็นโดรฟิน" วันนี้ดาวต่างมุม เลยขอมานั่งจับเข่าพูดคุยถึงประสบการณ์ทำงานตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเธอ รวมถึงเรื่องความรักกับแฟนหนุ่ม แทน ฮองจูลี หนุ่มลูกครึ่งไทย-เกาหลี สมาชิกวงปริ๊นซ์ ที่หลายคนกำลังจับตามอง

ที่มา: เดลินิวส์



คำถาม
อัพเดทผลงาน?

ดา
"ตอนนี้ดาปล่อยซิงเกิลอั้ลบั้ม "ดอกไม้ไฟ" ออกไปหมดแล้ว นับว่าเป็นปีที่ 7 ที่ได้ทำงานในแกรมมี่ เป็นปีที่หลายคนเรียกว่า "7 Years Itch (เซเว่น เยียร์ อิทช์)" มันอาจจะเกิดเรื่องราวที่ดีหรือไม่ดี แต่ดาคิดว่ามันเป็นปีที่ดีของดามาก ๆ เพราะกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ด้วย เป็นการจัดที่อิมแพ็คอารีน่าครั้งแรก ถ้าใครเป็นแฟนเพลงเอ็นโดฟินมาตั้งแต่เด็ก ๆ (หัวเราะ) ก็จะรู้สึกว่าทำไมเราทำงานมานานขนาดนี้ พูดตรง ๆ ตอนเข้าวงการใหม่ ๆ ดาคิดแค่ว่าอยากออกอัลบั้มเฉยๆ เด็ก ม.5 คนหนึ่งได้ออกอัลบั้มกับแกรมมี่มันยิ่งใหญ่มากแล้ว แต่พอทำไปทำมามันยาวนานมาถึง 7 ปี ถือเป็นความโชคดีที่ดาได้อยู่กับทีมเพลงที่ดีมาตลอด ดังนั้นดาตั้งใจจะใส่ทั้งหมดที่ดามีอยู่ทั้ง 7 ปีที่มันผ่านมาให้อยู่ในคอนเสิร์ตครั้งนี้ อะไรที่เรารู้สึกว่าเราชอบ รู้สึกว่าเราทำได้ เราจะให้แฟนเพลงได้เห็นด้วย"

คำถาม คิดว่าอะไรที่ทำให้เราอยู่ได้นานขนาดนี้?

ดา
"ดาดีใจที่เราเป็นนักร้องที่ขายดนตรี ขายเสียงร้องมาตั้งแต่เด็ก ๆ เอ็มวีเพลง "สิ่งสำคัญ" ทำให้เรารู้สึกว่าเราโชคดี เพราะไม่เห็นหน้านักร้องเลย ทุกคนคิดว่าโฟร์-ศกลรัตน์ เป็นคนร้อง (หัวเราะ) คนจะบอกว่านักร้องน่ารักมากเลย เราเลยรู้สึกว่าเราโชคดีที่คนรักเราที่เสียง ซึ่งมันมีคุณค่ามากกว่าความสวยงาม ความหล่อเหลา เพราะฉะนั้นดาคิดว่าแฟนเพลงให้เรามาขนาดนี้ เราจะต้องไม่หลอกเขา คือเราต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ถ้าเพลงไม่เพราะก็ไม่ต้องไปปล่อย อย่าโกหกตัวเอง อย่าเข้าข้างตัวเองว่าท่อนฮุคโดน เนื้อเรื่องโดน แล้วไปซ่อมอย่างอื่นอีกที"

คำถาม
7 ปี บนถนนสายดนตรีให้อะไรกับดาบ้าง?

ดา "ดาจะบอกก่อนว่าดาอยู่แฟลตตำรวจตั้งแต่เกิด คุณพ่อเป็นตำรวจ คุณแม่เป็นครู พอมาทำงานตรงนี้หนึ่งเลยคือ ดาได้บ้าน ได้รถ มีที่ทางทำให้ครอบครัวสบายขึ้น และสิ่งที่มันล้ำค่ากว่านั้นคืออาชีพที่มันไม่ต้องนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เพื่อน ๆ หลายคนอิจฉา เพราะเพื่อนดาบางคนยังแปลภาษา นั่งทำเว็บเพจ เพราะฉะนั้นบางทีที่เราเหนื่อย เราก็จะคิดว่าเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนเหนื่อยกว่าเรา อาชีพเราไม่เหนื่อยหรอก เหนื่อยแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หาย อีกอย่างดารู้สึกว่างานนักร้องมันเหมือนงานท่องเที่ยว ได้เจออะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา มันสนุก อย่างเวลาขึ้นคอนเสิร์ตมันสอนเราได้อย่างดีเลยว่า เวลาคิวผิดจะทำยังไง พูดผิดจะทำยังไง ฯลฯ มันทำให้เรารู้สึกเหมือนนักบินว่าถ้าไม่เจอสถานการณ์แย่ ๆ เราก็แก้ไขปัญหาไม่เป็น"

คำถาม 7 ปีที่ผ่านมามีช่วงที่ท้อใจบ้างไหม?

ดา "มีอยู่ช่วงอัลบั้ม 3-4 ตอนนั้นเรารู้สึกว่าชีวิตวัยรุ่นเราหายไปไหน เราไม่เคยได้ไปงานเฟรซชี่ เราไม่เคยรับน้อง ดาพลาดชีวิตช่วงมหาวิทยาลัยที่เขาว่าสนุกที่สุด ก็รู้สึกเสียใจนิดหนึ่ง แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร เราแลกกัน มองในทางที่ดีคือเราทำงานเร็วกว่าเพื่อน นอกจากนั้นก็ไม่เสียใจแล้ว พอความคิดมันพลิกว่าเราโชคดีกว่าเพื่อน ๆ ก็จะรู้สึกสบายใจ แล้วไม่กลับคิดเรื่องนั้นอีกเลย"



คำถาม
ลำดับความสำคัญในชีวิตยังไงบ้าง?

ดา
"อันดับหนึ่งคือ ครอบครัวก่อน เพราะดาอยู่แบบพอมีพอกินมาตลอด ตอนเด็ก ๆ มีเงิน ใช้ 50 บาท 40 บาท คือเราเป็นครอบครัวข้าราชการมีเงินเดือนที่มันเป๊ะ เราไม่ได้มีโบนัส หรือได้เงินเยอะ ๆ เป็นช่วง ๆ เราเลยคิดว่าครอบครัวเราต้องสบายก่อน เพราะฉะนั้นเราจะไม่รู้สึกเห็นแก่ตัว ถ้าเราจะให้เขาก่อน แล้วเราจะให้ตัวเองบ้าง อันดับสอง ก็คือตัวเอง และ อันดับสามเป็นเพื่อนร่วมงานกับความรักซึ่งดาให้ลำดับ เท่า ๆ กัน เพราะการทำงานดนตรีเพื่อนร่วมงานสำคัญมาก เราไม่สามารถจะเกิดจากตัวเราได้แค่คนเดียว ดาจะบอกตลอดว่าทีมเบื้องหลังเราเจ๋งมาก งานเราถึงได้มาถึงสายตาคนดูได้นานขนาดนี้ แล้วเรื่องความรักมันก็จะมาพร้อม ๆ กัน"

คำถาม ดูเหมือนช่วงนี้ดาก็เปิดเผยเรื่องความรักมากขึ้น?

ดา
"เรียกว่ามีเวลาอยู่กับเขามากขึ้นมากกว่าค่ะ เพราะช่วงนี้ดาไม่รับงาน 2-3 เดือน คนอาจจะเห็นว่าเราพากันไปงานโน่นนี่นั่น จริง ๆ แล้วคือดาก็ให้เกียรติเขานะ เหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่เราสนิทที่สุด อย่างตอนเด็ก ๆ คนอาจจะถามว่านิยามคำว่า แฟนของดาคืออะไร ดาก็จะตอบอีกอย่างหนึ่งว่ารักก็คือรักมาก แต่พอโตขึ้นมาเรารู้สึกว่ารักอย่างเดียวมันไม่มีประโยชน์ เหมือนครึ่งหนึ่งของชีวิตดามันอยู่กับงานแล้ว เพราะฉะนั้นความเข้าใจต้องมาแรงกว่าสิ่งอื่นใด แล้วดาไม่ได้รักคนที่อิมเมจ ไม่ได้รักคนที่อำนาจหรือสถานะภายนอก เพราะมันไม่ได้เป็นอะไรที่ยั่งยืน ความจริงแล้วนิสัยลึก ๆ สำคัญที่สุด คือเหมือนเพื่อนแท้หนึ่งคนที่สามารถจะอยู่ด้วยกัน ดูแลกันเมื่อยามเจ็บป่วยได้"

คำถาม ดากับแทนก็ดูติสท์ด้วยกันทั้งคู่?

ดา "คือเขาชอบดนตรี เป็นเรื่องหนึ่งที่ดาประทับใจ ถ้าผู้ชายเล่นดนตรีมา ดาให้ใจไปครึ่งหนึ่งแล้ว ที่เหลือคือนิสัยส่วนตัว อย่างแทนเขาเคยเป็นศิลปินฝึกหัดในแกรมมี่ แล้วออกไปไล่ล่าความฝันของเขา ออกไปเป็นนักดนตรีกลางคืน หาประสบการณ์กลางคืน ก็เหมือนกับชีวิตดาตอนเด็ก ๆ กลางคืนเหมือนกัน ที่ออกไปเล่นผับให้ตัวเองเก่งขึ้น แล้วเขาก็เป็นคนติดดิน ซื่อ ๆ แบบงง ๆ (หัวเราะ) จริง ๆ เขาเป็นคนตลกขบขัน ไม่ใช่คนขรึมนะคะ แต่เขาจะพูดน้อย แล้วเราพูดเยอะ คืออย่างที่เขาบอกว่าตาชั่ง มันต้องการความบาลานซ์ไง (หัวเราะ) ดาว่าแรก ๆ คนเรายังไม่เจอข้อเสียกันหรอก แต่ในฐานะคนที่สนิทที่สุด เป็นแฟนที่เป็นเพื่อนได้เนี่ย เขาถือว่าเป็นคนที่พอดีสำหรับดา"

คำถาม คบกันมานานแค่ไหนแล้ว?

ดา "รู้จักกันมาประมาณ 3 ปี ส่วนที่คบหากันก็ประมาณ 9 เดือน คือตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเป็นแฟนกันด้วย เพราะดาคิดว่าชีวิตเราอย่าเพิ่งมีแฟนเลย อยากคุยไปอย่างนี้เรื่อย ๆ แต่คือช่วงนั้นก็คิดว่าต่างคนต่างไม่มีใคร ก็เลยมาลองคบกัน"


คำถาม ทุกวันนี้เรียกว่าแฟนได้หรือยัง?

ดา "เรียกว่า "แฟน" แต่ว่าเป็นแฟนที่เราแฮปปี้จะเป็นเพื่อนได้ด้วย คือเราเคยเห็นบางคนเป็นที่ต้องเป็นแฟนอย่างเดียว ซึ่งอันนั้นดาไม่ชอบ แฟนของดาก็จะเป็นเพื่อนได้ ถึงจะคุยและแชร์ได้ทุกเรื่อง สามารถคุยเรื่องดนตรีได้ ว่าเพลงนี้ คอร์ตนี้ฟังหรือยัง แล้วดากับแทนเรามีความเป็นเพื่อนกันครึ่งนึงเลย"

คำถาม มีเวลาให้กันไหม ต่างคนก็ต่างไปร้องเพลง?

ดา "โชคดีที่เราใช้ชีวิตกลางคืนด้วยกันทั้งคู่ เวลาดามีคอนเสิร์ตก็จะเลิกประมาณ 5 ทุ่มถึงเที่ยงคืน ส่วนตัวเขาเองก็เที่ยงคืน ส่วนใหญ่ถ้าเจอกันก็คือช่วงเวลากินข้าวเย็น แล้วต่างคนต่างแยกย้าย คือเราพยายามที่จะหาเวลาให้กัน แต่ไม่ต้องพยายามมาก ความรักถ้าพยายามมันจะกลายเป็นเรื่องทะเลาะกัน เราไม่ใช่เกณฑ์บังคับที่ต้องมานี่เดี๋ยวนี้ (เสียงสูง) คือเราปล่อยสบาย ๆ อย่างเมื่อก่อนดาเคยซีเรียสกับเรื่องความรัก แล้วพอมาปล่อยมันหลวม ๆ แบบไม่มีขอบเขต ก็รู้สึกว่าสบายตัวมากขึ้น เขาก็สบายตัว เราก็สบายตัว"


คำถาม มีโอกาสเจอคุณพ่อคุณแม่แต่ละฝ่ายหรือยัง?

ดา "ทานข้าวกันทั่วไปเลย คือเพื่อนดาก็มีโอกาสไปเจอครอบครัวมาหมด ตัวแทนคุณแม่อยู่เมืองไทย คุณพ่ออยู่เกาหลี เขาก็อยู่ของเขาเอง ศุกร์-เสาร์ มีไปดินเนอร์กับแม่บ้าง แต่ไม่ได้บ่อย แต่ก็คือการทำให้เราไว้ใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ที่ได้เห็นหน้ากัน"

คำถาม อย่างล่าสุดควงกันไปงานแต่ง "ก้อย-โย่ง" มีความคิดอยากจะแต่งบ้างหรือยัง?

ดา "เราก็บอกว่างานแต่งวุ่นเนอะ (หัวเราะ) แต่คือเราเข้าใจว่างานแต่งงานหลายคนทำเพื่อครอบครัวจริง ๆ ดาคิดว่ามันเป็นการขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามา เป็นงานให้เพื่อนฝูงมาเจอกัน แล้วก็แฮปปี้ว่าเพื่อนเราลงเอยแล้วนะแค่นั้น แต่ดาเห็นพี่ ๆ ทีมงานบางคนที่ไม่ได้แต่งงานก็อยู่กันมาเป็น 10 ปีแล้ว จริง ๆ งานแต่งงานก็สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือการที่อยู่เป็นเพื่อนกันจนแก่มากกว่า แล้วดาเชื่อว่าผู้หญิงกับผู้ชายทำงานหลายคนเดี๋ยวนี้ก็เห็นด้วยกับการอยู่กินกันแบบเพื่อนกันไปเรื่อย ๆ คืออาจจะมีแค่ทะเบียนสมรส แต่ไม่ต้องมีงานแต่งใหญ่โตก็ได้"

คำถาม คุณพ่อคุณแม่ว่ายังไงบ้าง ที่เราคิดแบบนี้?

ดา "ยังไม่เคยปรึกษาเลย เขาก็คงโกรธนะ (หัวเราะ) แต่สุดท้ายดาคิดว่าเขาเข้าใจ เพราะเราดำเนินทางมาสายที่เป็นเรามาตั้ง 7 ปีแล้ว แต่ถ้าจะให้แต่งก็เอางบมาเราก็แต่ง คือถ้าพ่อให้เลือกเราก็ทำตามเขา แต่ถ้าให้เราเลือกเราก็ไม่จัดงานแต่งงาน".

 


* ดูประวัติ ดา - ธนิดา ธรรมวิมล

* ดูอัลบั้ม ดา - ธนิดา ธรรมวิมล



 
 

Box Office

เรื่อง
ล่าสุด
รวม
1.
2.
3.
4.
5.
เรื่อง
ล่าสุด
รวม
1.
2.
3.
4.
5.

บทสัมภาษณ์ทั้งหมด

 
ยังไม่มีข้อมูล
หน้าแรกย้อนกลับ [ 1 ] หน้าถัดไปหน้าสุดท้าย
 
 

ติดตามหนังดี : Youtube Instagram Facebook Twitter  

MMM Digital Asset Co.,Ltd.
109 อาคารซีซีที ชั้น 2 ถนนสุรวงศ์
แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
Tel. 0-2234-7535    FAX. 0-2634-4269
E-mail: webmaster@nangdee.com   © 2006 nangdee.com
แผนที่ | sitemap | ติดต่อโฆษณา