

กล่าวได้ว่า “ปวีณ ภูริจิตปัญญา” ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้มีแนวทางที่ชัดเจนในการทำหนังมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เห็นได้จากตั้งแต่ช่วงเริ่มทำหนังสั้นสมัยเป็นนิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เรื่อง “พลาด” หรือ “Antiseptic” ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวในด้านการเล่าเรื่อง, การตัดต่อ และที่สำคัญคือ ด้านเทคนิคพิเศษ (Visual Effects)
เทคนิคพิเศษในงานของปวีณ ถือเป็นลายเซ็นที่ติดตัวเขามาจนถึงวันที่ได้กำกับภาพยนตร์เพื่อฉายโรง ได้แก่ บอดี้ ศพ#19, สี่แพร่ง ตอน “ยันต์สั่งตาย” และ ห้าแพร่ง ตอน “หลาวชะโอน” โดยเรื่องหลังนี้ปวีณได้ก้าวไปอีกขั้นของการใช้เทคนิคพิเศษในการสร้างภาพยนตร์ นั่นคือ การใช้เทคนิคพิเศษในการสร้างเปรตให้ผู้ชมเห็นอย่างชัดเจนและสมจริงผ่านภาพยนตร์ที่มีประเด็นเรื่อง “กรรม” จนกลายเป็นตอนที่ผมชอบที่สุดในบรรดา 5 ตอนของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้
![]()
แต่เรื่องที่จะขอพูดถึงในที่นี้ คือผลงานชิ้นแจ้งเกิดของเขา นั่นก็คือ… “บอดี้ ศพ#19” (2007) ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายใหม่ของวงการภาพยนตร์ไทยแนว “Psycho-Horror” (จิตวิทยาเกี่ยวกับความสยองขวัญ) ของบ้านเราเลยทีเดียว อีกทั้งมันยังได้เข้าชิงรางวัลในสาขาต่าง ๆ มากมายหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลภาพยนตร์ไทย ชมรมวิจารณ์บันเทิง, เฉลิมไทยอวอร์ด หรือ รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ที่เข้าชิงถึง 9 สาขา รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีด้วย สืบเนื่องจากหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะความโดดเด่นของตัวบทภาพยนตร์นี้เอง ที่เรียกได้ว่าเป็นของใหม่ในแวดวงภาพยนตร์ไทยอย่างที่ไม่ได้เห็นมานานในระยะหลัง ๆ มานี้
![]()
![]()
บอดี้ ศพ#19 เขียนบทโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล (ผู้กำกับ “รักแห่งสยาม”) และ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ (ผู้เขียนบท “13 เกมสยอง”) สร้างและจัดจำหน่าย โดย บริษัท จีเอ็มเอ็ม ไท หับ จำกัด (GTH Co.,Ltd.) มีที่มาจากการนำ Keywords หรือ หัวข้อ (Content) ซึ่งเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เรื่องหมอฆ่าเมีย มาสร้างสรรค์และแปรสภาพให้กลายมาเป็นธุรกิจบันเทิงในรูปแบบภาพยนตร์ได้อย่างชาญฉลาด เริ่มต้นจากการนำ Keywords มาขยายต่อเป็นโครงเรื่อง (Plot) และแตกเป็นประเด็น (Subject) ออกมาในรูปแบบหนังระทึกขวัญ-สยองขวัญจากต่างประเทศ โดยในแง่ของไอเดียหรือลักษณะการดำเนินเรื่องเช่นนี้ก็มีมานานแล้วในภาพยนตร์ Hollywood และไม่ใช่ของใหม่แต่อย่างใด ซึ่งก็คือวิธีการเล่าเรื่องเพื่อหักมุมในตอนจบ (Twist Ending) นั่นเอง หนังจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง “Identity” (James Mangold, 2003) น่าจะเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับ บอดี้ ศพ#19 ในการเล่าเรื่องในลักษณะนี้ ที่สำคัญยังมีการนำเสนอในประเด็นเดียวกันด้วย นั่นคือ ภาวะผู้ป่วยโรคจิตเภท ซึ่งมีการเปลี่ยนบุคลิก, จิตใจ จากคนหนึ่งกลายเป็นอีกคนหนึ่ง หรือหลาย ๆ คน (Multiple Personalities) โดยเกิดจากบาดแผลภายใต้จิตสำนึก (Psychic trauma) เป็นตัวขับเคลื่อน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยเอื้อประโยชน์ต่อการนำเสนอแบบต้องคิดตามไปขณะรับชม แต่ในท้ายที่สุด บอดี้ ศพ#19 ก็สามารถหลอกผู้ชมได้อย่างสนิทใจตามวัตถุประสงค์ของผู้สร้าง คือ การพาผู้ชมหลุดพ้นจากโลกความเป็นจริง (Escapism) นั่นเอง
![]()
“บอดี้ ศพ#19” จัดอยู่ในหมวดหมู่ภาพยนตร์ที่โดดเด่นด้านการเล่าเรื่อง (Narrative Function) และสร้างความตื่นตาตื่นใจ (Spectual Function) เป็นพิเศษ ในขณะเดียวกัน ด้านการสร้างอารมณ์ (Emotional Function) หรือ การใช้สติปัญญารับชมเพื่อนำมาวิเคราะห์ตามความสามารถของบุคคล (Intellectual Function) ก็เป็นสิ่งที่น่ากล่าวถึงไม่แพ้กัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากการแสดงที่ลงตัวของอารักษ์ อมรศุภศิริ, กฤตธีรา อินพรวิจิตร, อรจิรา แหลมวิไล, ภัทรวรินทร์ ทิมกุล และ ปรเมศร์ น้อยอ่ำ อีกทั้งด้านเพลงและดนตรีประกอบก็คุมโทนของเรื่องไว้ได้แบบเอาอยู่ รวมถึงด้านเทคนิคพิเศษ การกำกับศิลป์ การแต่งหน้า การออกแบบงานสร้าง หรือ การลำดับภาพ ฯลฯ ก็ล้วนสอดรับกับเรื่องราวได้เป็นอย่างดีตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงวินาทีสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อชลสิทธิ์ หรือ ชล (อารักษ์ อมรศุภสิริ) นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ {มีเอ๋ (อรจิรา แหลมวิไล) พี่สาวซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ พักอาศัยร่วมกันในบ้านหลังหนึ่ง} รู้สึกถึงเหตุการณ์แปลก ๆ หลังจากที่เขาฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ชลจึงไปพบกับหมอจิ๊บ (วัสนัย ภคพงศ์พันธ์) จิตแพทย์ แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น อีกทั้งยังเห็นผีมาหลอกเขาด้วย เอ๋จึงแนะนำให้ชลไปปรึกษากับหมออุษา (กฤตธีรา อินพรวิจิตร) จิตแพทย์ ซึ่งกำลังมีความสัมพันธ์อย่างระหองระแหงกับหมอสุธี (ปรเมศร์ น้อยอ่ำ) สามีของเธอ
![]()
เหตุการณ์ดำเนินไปจนกระทั่งชลเจอหลักฐานสุดท้าย คือ ตู้เก็บศพหมายเลข 19 ในโรงพยาบาล เมื่อชลเปิดออก กลับพบว่าในตู้นั้นคือศพที่มีใบหน้าเหมือนกับชล ... ชลก็คือสุธีที่ป่วยเป็นอาการบุคลิกวิปลาส (Depersonalization disorder) และเป็นคนฆ่าดาราราย (ภัทรวรินทร์ ทิมกุล) ผู้หญิงที่ชลฝันเห็นมาตลอดนั่นเอง ชลที่สุธีสร้างบุคลิกใหม่ขึ้นก็คือน้องชายของดารารายที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ส่วนเอ๋เป็นคนที่สุธีสมมติขึ้นให้มีบุคลิกเหมือนดาราราย
ก่อนที่ดารารายจะหมดสติด้วยฤทธิ์ยาที่หมอสุธีวางเพื่อหมายจะฆ่านั้น เธอได้ใช้การสะกดจิตสะกดด้วยเพลง “คิดถึงเธอทุกที…ที่อยู่คนเดียว” เมื่อหมอสุธีได้ฟังเพลงนี้จะเปลี่ยนบุคลิกเป็นชลในทันที หมอสุธีได้นำร่างของดารารายเข้ามาในบ้านร้างแห่งหนึ่งเพื่อล้างตัวและหั่นศพ แล้วนำไปทิ้งไว้ สุดท้ายสุธีหนีความผิดที่ตนก่อไม่พ้น ถูกจับกุมและขึ้นศาล กระนั้นบุคลิกของชลก็ยังติดตัวหมอสุธีไปตลอด กระทั่งเมื่อสุธีหนีจากรถควบคุมผู้ต้องขัง ถูกเหล็กที่หล่นใส่รถบรรทุกเสียบทะลุร่างจนต้องส่งโรงพยาบาล ณ ที่นั่น ผีดารารายได้คลายสะกดด้วยการดีดนิ้ว และหมอสุธีได้รับความเจ็บปวดทรมานจากกรรมของตนในที่สุด
![]()
![]()
จะเห็นได้ว่าเรื่องราวที่นำเสนอออกมา สามารถตีแผ่หรือแฝงไว้ด้วยประเด็นสำคัญในสังคมไทยยุคหนึ่งได้อย่างแยบคายโดยผ่าน Theme ที่ชัดเจน การใช้สัญลักษณ์ในฉากต่าง ๆ เพื่อสร้างความหมายและนัยยะ (แหวน, สัตว์, ผี, ทารกตัวอ่อน) มุมกล้อง (“ระดับสายตา”บ่อยครั้ง) และ ขนาดภาพ (“Full Shot” และ “Medium Shot” เป็นส่วนใหญ่) ก็สามารถสร้างอารมณ์ชวนสงสัยให้ผู้ชมได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่โรงละครที่หนังยังไม่ได้บอกอะไรกับผู้ชมเลยทั้งสิ้น ก่อนที่จะเริ่มเดินหน้าไปพร้อม ๆ กับการเปิดเผยรายละเอียดทีละนิด เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกมีส่วนร่วมในการติดตามและเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวไปตลอด อีกทั้งยังท้าทายในเรื่องการปะติดปะต่อเรื่องราวตามไหวพริบและความสามารถแต่ละคน ก่อนจะเข้าสู่ช่วง Climax ซึ่งเป็นการเฉลยปมสำคัญในท้ายที่สุด โดยภายรวมภาพยนตร์เรื่องนี้ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมชนิดเรียกได้ว่าเกินคาดอยู่พอสมควร
จวบจนวันนี้ ภาพยนตร์เรื่อง “บอดี้ ศพ#19” ก็ได้กลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงและมีการหยิบยกมาพูดถึงบ่อยครั้ง หรือกลายเป็นภาพยนตร์ศึกษาให้กับนักศึกษาภาพยนตร์ได้เรียนรู้ในเรื่องกลวิธีการนำเสนอที่แปลกใหม่ของวงการภาพยนตร์ไทยแนว “Psycho-Horror” ผ่านมุมมอง ตัวตน และการกำกับของ “ปวีณ ภูริจิตปัญญา” ซึ่งมีแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นชัดเจน ซึ่งมันก็ได้กลายเป็นภาพยนตร์ที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน และเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ในดวงใจของผมไปโดยปริยาย

New Voice