เป็นฤกษ์งามยามดีของเหล่าแฟนจักรวาล DC ที่ได้ดู Justice League แบบเต็ม ๆ จากผู้กำกับ แซ็ค สไนเดอร์ ทั้งที วันนี้เราเลยหยิบเกร็ดเบื้องหลังของภาพยนตร์ที่ สไนเดอร์ ได้เล่าไว้กับทาง IGN มาฝากกัน เป็นน้ำจิ้มเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนไปมันส์จุใจกับมหากาพย์รวมทีมซูเปอร์ฮีโร่ความยาว 4 ชั่วโมงเต็ม ซึ่งจะแบ่งเรื่องราวเป็น 6 พาร์ทด้วยกันตามชื่อแต่ละพาร์ทว่า 

- Part 1: “Don’t Count On It, Batman”

- Part 2: The Age Of Heroes

- Part 3: Beloved Mother, Beloved Son

- Part 4: “Change Machine”

- Part 5: All The King’s Horses

- Part 6: “Something Darker”

- Epilogue: “A Father Twice Over”

 

 

เกร็ดเบื้องหลัง Justice League ฉบับ แซ็ค สไนเดอร์

• สไนเดอร์ สัญญาว่า Justice Leage ฉบับล่าสุดของเขานั้นจะเหมือนกับฉบับที่ถ่ายทำเอาไว้เมื่อปี 2016 เป๊ะ ซึ่งในตอนนั้นเขามีฟุตเทจรวมกันขนาดยาวกว่าฉบับปัจจุบัน ก่อนที่เขาและนักตัดต่อ เดวิด เบรนเนอร์ (David Brenner) จะช่วยกันตัดจนเหลือความยาวประมาณ 4 ชั่วโมง ส่วน Justice League ฉบับที่จะเข้าฉาย HBO Max ล่าสุดนั้น จะมีความยาวทั้งหมด 4 ชั่วโมง 2 นาที ด้วยกัน

• สไนเดอร์ ยอมรับว่ากระแสเรียกร้องจากแฟนคลับเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาได้มีโอกาสกลับมาทำ Justice League ในแบบฉบับของตัวเองอีกครั้ง โดยเขาเล่าว่า ระหว่างที่กำลังหารือกับทาง Warner Beos. อยู่นั้น แรงสนับสนุนจากแฟน ๆ เป็นดั่ง ‘พายุที่ถาโถมเข้ามาอย่างเหมาะเจาะ’ ทำให้ทุกอย่างเป็นความจริงขึ้นมา

 

 

• สไนเดอร์ บอกว่าส่วนสำคัญที่สุดของหนังสำหรับตัวเขาก็คือ “ภูมิหลังของไซบอร์ก” เพราะการเดินทางและเรื่องราวต่าง ๆ ของตัวละครนี้สำคัญมาก ทั้งยังคอนเฟิร์มอีกว่าแฟน ๆ จะได้เห็นฉากเจ๋ง ๆ ที่พวกเขาเตรียมเซอร์ไพรส์ไว้ให้แน่นอน “ทุกสิ่งอย่างมันมุ่งไปหาเขา ทุกสิ่งที่เดิมพันไว้มันเกี่ยวข้องกับเขา รวมถึงมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาภายใต้บริบทหลักของตัวหนังด้วย เขาเป็นตัวละครที่สุดยอดมาก มันเป็นเรื่องดีที่ได้เห็นเขาตะหนักได้ในหนัง เวลาที่คุณได้ดูคุณเองก็จะตระหนักได้ว่า ไซบอร์ก คือยอดภูเขาที่มีอะไรซ่อนอยู่ใต้น้ำอีกเยอะ ในความคิดผมนะ แต่ก็นั่นแหละ ใครจะไปรู้?”

• สไนเดอร์ เล่าให้ฟังว่าตอนมีแผนแบ่งปล่อยภาพยนตร์ออกเป็นส่วน ๆ เป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก เพราะเขาคิดว่าอาจมีแฟนบางส่วนที่จะเกรี้ยวกราดเพราะรอเป็นอาทิตย์ ๆ ไม่ไหว โดยตัวหนังถ่ายทำแยกเป็น 6 ตอน และแน่นอนว่ามันจะได้ฉายตามลำดับ โดยตอนแรกจะใช้ชื่อว่า “อย่าไว้ใจมัน แบทแมน (Don’t Count On It Batman)” และตอนที่สองจะชื่อว่า “ยุคสมัยแห่งฮีโร่ (The Age of Heroes)”

 

 

• สไนเดอร์ บอกว่าแฟน ๆ สามารถมองจักรวาลสไนเดอร์ของเขาแยกออกมาจากจักรวาล DC หลักเลยก็ได้ เพราะเขาถ่ายทอดเรื่องราวของทีมจัสติซ ลีกในแบบฉบับที่ออกมาจากมุมมองของเขาเอง และฉบับของเขานั้นถ่ายเสร็จไว้ก่อนที่ Justice League ฉบับของ จอส วีดอน (Joss Wheedon) ซะอีก ทั้งนี้ทัง้นั้น เขารักและชื่นชมในผลงานของ แพตตี้ เจนกินส์ (Patty Jenkins) ผู้กำกับ Wonder Woman และ เจมส์ วาน (James Wan) ผู้กำกับ Aquaman มาก 

• สไนเดอร์ พูดถึง แบทแมน ในแบบฉบับของเขาเอาไว้ว่า “บรูซ ของเรามีคุณธรรมและทิศทางความเป็นธรรมสูงกว่า ตั้งแต่เขาเริ่มเผชิญหน้ากับอาชญากรรมในก็อตแธมราว 20 ปีก่อน แต่เพราะเขาได้เห็นความโหดร้ายมานานหลายปี และผมคิดว่านั่นทำให้เขาเฉื่อยชาลงในตอนนี้อย่างเห็นได้ชัด อย่าง การตายของ โรบิน และคนอื่น ๆ ผมคิดว่านั่นทำให้เขาได้ค้นพบตัวของตัวเองในช่วงเวลาที่หมองหม่นแบบนั้น และใช่ครับ เหนือสิ่งอื่นใดคือการตายของ ซูเปอร์แมน ทำให้เขาสั่นคลอนมากที่สุด แต่นั่นก็เป็นแรงผลักให้เขาออกมาสร้างทีมจัสติซ ลีก และทำหน้าที่ของตัวเองได้ในที่สุด”

• สไนเดอร์ อธิบายถึงความเชื่อมโยงกันระหว่าง คาลวิน สแวนวิค และ มาร์เชียน แมนฮันเตอร์ เอาไว้ว่า “ในความคิดของผม สแวนวิค และ มาร์เชียน แมนฮันเตอร์ เหมือนกับเป็นตัวตนที่สองของกันและกัน นั่นคือสิ่งที่ผมมองพวกเขา ถ้าคุณสังเกตวิธีที่เขาควบคุมให้ โลอิส และ คลาร์ค ทำหน้าที่ของพวกเขาให้ดีที่สุด เป็นตัวคนของตัวเองให้มากที่สุด เป็นเพราะว่าเขาอยากให้มนุษยชาติทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หรือไม่ก็ด้วยฮีโร่คนใหม่ในตัว ซูเปอร์แมน ผมคิดว่านั่นคือมุมมองที่ผมมองว่าเขามีคำพูดที่เหมือนกัน”

 

 

• อย่างที่เห็นกันว่า จาเร็ด เลโต้ (Jared Leto) กลับมาแจมในบท โจ๊กเกอร์ ด้วย แต่ สไนเดอร์ บอกว่านั่นไม่ใช่แผนที่วางไว้ในบทภาพยนตร์ฉบับเดิม แต่เขาต้องการทำเพื่อแฟน ๆ เท่านั้น “มันเหมือนกับการเติมเต็มคำสัญญาที่จะพา โจ๊กเกอร์ มาอยู่ในจักรวาลนี้ และต้องไม่ให้เขาได้ร่วมมือร่วมใจกับ แบทแมน ผมอยากให้เขาเป็นฝันร้ายในความเป็นจริงมาตลอด เพราะงั้นมันคือโอกาสที่ยอดเยี่ยมมาก ตอนที่ผมได้คุยกับ จาเร็ด แล้วเขาสนใจมาแจมด้วย ผมรู้สึกเลยว่า โอเค มันคือสิ่งที่ผมจะปล่อยไปหลุดมือไปไม่ได้เลย”

• Justice League จะจบด้วยปมค้างคาอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งอาจจะโยงไปถึงหนัง Justice League ถัดไปของจักรวาลสไนเดอร์ แต่ก็มีแนวโน้มว่าโปรเจกต์เหล่านั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นจริง จากที่ สไนเดอร์ กล่าวไว้ว่า “ก็คือ มันควรจะแยกเป็นหนังสองเรื่องในตอนแรก หนังเรื่องนี้จริง ๆ มันจะไม่ได้กล่าวถึงหนังอื่น ๆ เพิ่มเติมเลยสักนิดเดียว แต่มันจะบอกใบ้ถึงโลกอื่น ผมจะปลูกเมล็ดพันธุ์ที่ผมอยากให้มันเติบโตในหนังในอนาคตเอาไว้ มันอยู่ในนั้นแหละครับ เหมือนกับเรื่องราวเหล่านั้นที่มันอาจจะถูกเปิดเผยถ้ามีการสร้างขึ้นจริง แต่มันดูเหมือนจะไม่ได้สร้างนะครับ”

 

 

• สไนเดอร์ ต้องโน้มน้าว Warner bros. ให้ ซูเปอร์แมน ลองใส่ชุดฮีโร่เวอร์ชั่นสีดำสักครั้ง โดยลองปรับเปลี่ยนวัสดุบางอย่างจากชุดเก่าแล้วลองถ่ายทำเสมือนจริงดู (อ่านข้อมูลเพิ่มเติม: แซ็ค สไนเดอร์ ไฝว้สุดตัวกับ Warner Bros. ให้ Superman ได้ใส่ชุดซูเปอร์ฮีโร่สีดำ)

• สไนเดอร์ เผยว่าจริง ๆ แล้ว ดาร์กไซด์ จะเป็นวายร้ายตัวหลักของ Justice League 2 แต่สุดท้ายก็นำมารวมอยู่ในภาพยนตร์ฉบับยาวนี้ด้วย ทั้งยังบอกอีกว่าเขาเป็นตัวละครที่มีความหลังบางอย่างที่ทำให้เขากลายเป็นวายร้าย และพยายามจะกลับไปแก้ไขให้ปมหลังนั้นถูกต้อง ส่วน เรย์ พอร์ทเตอร์ ก็ทำหน้าที่พากย์เสียงตัวละครตัวนี้ออกมาได้ถึงอารมณ์มาก นอกจากนี้ ดาร์กไซด์ กับ สเต็ปเพ็นวูล์ฟ ยังมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนต่อกัน และทุกอย่างจะถูกเฉลยในภาพยนตร์เรื่องนี้

• เดธสโตรค ในแบบฉบับของ สไนเดอร์ จะเป็นตัวร้ายที่อยู่เคียงข้างทีมซูเปอร์ฮีโร่ อย่างที่ สไนเดอร์ กล่าวเอาไว้ว่า “ตอนที่เราพบเขา เห็นได้ชัดว่าเขาและ แบทแมน มีพันธะอะไรบางอย่างต่อกันทำให้พวกเขาเหมือนเป็นคู่ทำงานกันไปโดยปริยาย มันจะมีศัตรูที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น พวกเขาไม่ได้ถูกล็อกอยู่ในสงครามต่อสู้ พวกเขาจะทำงานร่วมกันเพื่อหาทางออกให้กับโลกใบนี้”

 

Justice League ฉบับ แซ็ค สไนเดอร์ สามารถรับบทได้ทาง HBO Go

 

ที่มา : ign.com