ข่าว > ข่าวดาราทั้งหมด > ข่าวดาราไทย

"ฝน-ขนิษฐา" จากคนดูหนัง สู่การเป็นผู้กำกับภาพยนตร์

26 ต.ค. 2558 09:19 น. | เปิดอ่าน 1385 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

ความทรงจำแรกเริ่มที่มีต่อภาพยนตร์

คือจริงๆ ฝนชอบดูหนัง แล้วที่บ้านเป็นธุรกิจหนังกลางแปลงด้วย แต่ตอนเด็กๆ มันเหมือนเป็นอะไรคาใจเฉยๆ ว่าบ้านเราฉายหนังกลางแปลง แต่พ่อไม่ให้เราไปดูหนังกลางแปลง มันก็เลยมีความอยากดูอยู่ตลอดอะไรอย่างนี้ คือเราเป็นลูกสาว (หัวเราะ) โตขึ้นมาแล้วเป็นอย่างงี้กระโดกกระเดก หนังกลางแปลงสมัยก่อน มันดึก ถ้าจะได้รับอนุญาตให้ดูเนี่ย ก็จะได้ดูเรื่องแรกที่จะฉายหัวค่ำ ซึ่งมันยังไม่ใช่เรื่องพีคๆ ที่มันสนุก เรื่องที่พีคมันคือประมาณเรื่องที่สามหรือเรื่องสุดท้ายอะไรอย่างงี้ มันก็จะต้องกลับดึก ก็จะมีแต่พวกพี่ชายไปดูกัน พ่อเค้าก็เหมือนหวงห่วงอ่ะค่ะ  แล้วมันยิ่งทำให้เรารู้สึกแบบ..พี่ชายมันชอบกลับมาพูดกันแล้วเราไม่รู้เรื่อง จนเราเริ่มคลี่คลายความรู้สึกนี้เมื่อมันมีวิดีโอเข้ามา พ่อก็จะให้เราไปเช่าวิดีโอมาดูที่บ้านประมาณนี้ค่ะ พอโตขึ้นมามันก็เลยเหมือนเป็นเพื่อนไปเลย

ช่วงยุควิดีโอเข้ามานั้น ที่บ้านฝนก็ยังทำธุรกิจหนังกลางแปลงอยู่นะคะ นี่เพิ่งจะหยุดเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วเอง อันนี้คือที่ลพบุรีนะคะ ฝนเป็นคนลพบุรีค่ะ หนังกลางแปลงของเราก็จะฉายที่ประจำ แล้วก็เร่ไปที่ต่างๆ ด้วย แต่ช่วงหลังเราจะไม่ได้เร่ เราจะได้รับจ้างตามงาน แต่ช่วงสมัยก่อน ตอนที่เรายังเล็กๆ ก็เร่หนังกันค่ะ หนังกลางแปลงของที่บ้านที่ฉายนี่ก็ผสมกันไปค่ะ ส่วนใหญ่แล้วหนังแอ็คชั่นจะพีคมากตอนนั้นนะคะ แล้วก็จะเป็นหนังผีจีน แล้วก็พวกหนังกำลังภายในต่างๆ บินได้ เหาะได้ กระบงกระบี่ไรงี้ แต่ก็มักจะไม่ค่อยได้ดูค่ะ (หัวเราะ)

ความชอบดูหนังจริงๆ ก็พูดได้ว่าได้อิทธิพลมาจากครอบครัวส่วนหนึ่ง

น่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ แล้วฝนก็กลายเป็นคนชอบดูหนังไทยเก่าๆ พวกยุคแบบอาเอก สรพงษ์อะไรเหล่านั้นเลย คือแบบว่าโตขึ้นมากับบ้านที่ข้างล่างมันเป็นออฟฟิศ มีโปสเตอร์แปะๆ อยู่ไรงี้ ตอนเด็กๆ ก็ชอบไปขูดเล่น (หัวเราะ) เค้าไม่ให้ไปดูหนังก็ฉีกโปสเตอร์ ทุกวันนี้เสียดายมาก ถ้ารู้ว่ามันมีมูลค่าขนาดนี้ จะไม่เอาความโมโหไปลงที่ใบปิดหนังเลยค่ะ

ถ้าถามความชอบส่วนตัว แนวหนังที่ชอบดูจะเป็นแนวไหนเป็นพิเศษ

ฝนชอบหนังที่เหมือนหนังดราม่า  เหมือนหนังที่มัน coming of age เติบโตขึ้นไปกับเค้าอ่ะค่ะ มันเหมือนแบบ พอดูแล้วเราอิน แล้วก็หนังรักต่างๆ เวลาดูแล้วแบบชอบจังเลย มันมีช่วงยุคนึงที่เป็นยุคหนังรักเลย จะมีหนังรักออกมาเยอะมาก แล้วก็ดีๆ ทั้งนั้นเลย เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย...เนี่ย ชอบหนังแบบนี้ แต่จริงๆ ก็ดูหนังได้ทุกประเภท จริงๆ ก็ชอบแบบ...พูดเป็นภาษาไงดี เหมือนหนังวายป่วง หนังจูราสสิค ปาร์ค หนังอะไรพวกนี้ที่แบบในยุคนั้นก็จะชอบหมดค่ะ แต่ถ้าเอาความรู้สึกจริงๆ ไม่ลังเลที่หยิบมาดูเลยก็จะเป็นหนังรักค่ะ

ตอนเด็กก็ดูหนังรักค่ะ ก็จะแบบว่าร้องไห้กับ "น้ำเซาะทราย" มาก ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ดูตั้งแต่ยุค "นาท ภูวนัย" อะไรอย่างงี้ ดูแล้วก็...อ๋อ มันเป็นงี้นี่เอง มันเหมือนตื่นเต้นมากกว่าค่ะ หนังมันทำแบบนี้นี่เอง มันก็เลยเหมือนแบบว่าทำให้ชอบไปโดยปริยาย แล้วก็จะมาเจอยุคหลังๆ ที่แม่เค้าจะสงสารลูก ก็เลยพาเข้ามากรุงเทพฯ พามาเปิดโลกใหม่ที่เมเจอร์ปิ่นเกล้า ฝนจำได้ แม่พาไปดูหนังเรื่อง "จูราสสิค ปาร์ค ภาค 2" ภาพยนตร์มันเป็นแบบนี้นี่เอง เข้าไปในเมเจอร์ฯ แล้วแบบ...เราเป็นเด็กต่างจังหวัด มันไม่ใช่โรงเดี่ยว Stand Alone แบบที่บ้าน มันมีใบปิดหนัง มันมีโลกๆ นี้อยู่ รู้สึกเลยว่ามันใช่อ่ะ แล้วพอไปเจอจูราสสิค ปาร์คปุ๊บ มันมีไดโนเสาร์ ก็หาอ่านข้อมูล หลังจากนั้นมาเจออนาคอนด้า อุ๊ย เค้าทำอย่างงี้ได้ด้วย ก็เริ่มรู้สึกว่า เราคลั่งหนังมากๆ ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาค่ะ

จากความชอบดูหนังเลยเบนเข็มมาเรียนต่อสายภาพยนตร์ด้วย

ตอนแรกจะมาเรียนต่อวิศวะโยธา เรียนช่าง เรียนสายอาชีพ แต่มันก็มีความรู้สึกว่า เราจะเรียนมหาวิทยาลัยแล้วนะ เราควรที่จะเรียนอะไรที่มันเหมาะกับตัวเองจริงๆ เห็นเค้าแนบข้างหลังว่า "ภาพยนตร์" ของที่ ม.กรุงเทพ ก็เลยรู้สึกว่ามันตื่นเต้น มันน่าเรียน แต่ยังไม่ได้คิดว่าแบบฉันจะต้องมาเป็นผู้กำกับหรืออะไรอย่างนี้ ยังไม่ได้คิดขนาดนั้น คิดแค่ว่าเราแค่ชอบดูหนัง มันน่าจะเป็นเรื่องที่เราเรียนแล้วสนุก อยากเรียนแล้วสนุกมากกว่า ตอนนั้นนะคะ

จนกระทั่งต้องทำหนังสั้นของตัวเอง

คือตอนนั้นปี 4 มันเป็นวิชาฟิล์มโปรดักชั่นค่ะ แล้วเราก็ต้องทำหนัง  4 ตัว ตัวแรกเป็น "หนังส่วนตัว" อาจารย์ให้โจทย์มาเล่า 3-4 นาทีสั้นมากๆ ฝนรู้สึกว่าตอนนั้นที่ฝนเรียนปี 4 เราเรียนไปซักพัก เรารู้สึกว่าเรามีเรื่องอยากจะทำอยากจะเล่า เราไม่ได้รู้สึกว่าเราอยากจะเป็นผู้กำกับหรือว่าอะไร วิชานี้มันเป็นวิชาที่เด็กฟิล์มตอนนั้นจะได้ลงมือทำ เรารอคอยวิชานี้มาก ฝนก็เลยหนีเพื่อนแอบไปลงเรียนคนเดียว เพื่อที่ตัวเองจะได้เรียนแบบเต็มๆ แล้วดันไปเลือกลงวันจันทร์เช้า ซึ่ง นักศึกษาจะรู้ว่าวันจันทร์เช้า เราจะไม่อยากเรียน แล้วมันก็ประสบความสำเร็จมาก เพราะว่า section นี้คนน้อยมาก (หัวเราะ) อาจารย์เกือบจะปิด sec แล้ว แต่สุดท้ายก็เลยได้ทำคนเดียว ทุกงานได้ทำคนเดียว ก็มี "หนังส่วนตัว" 3 นาที, "หนังไม่ตัด" เป็นหนัง long take 3 นาทีเหมือนกัน ต่อมาเป็น "หนังไม่พูด" 3 นาทีทั้งเรื่องจะต้องไม่พูดอะไรแล้วเล่าเรื่อง จนมาอันสุดท้ายเนี่ย "หนังไม่เล็ก" เป็นหนังสั้น 30 นาที ทุกคนต้องแข่งกันขายบท เรามีสิทธิ์เลือกเพื่อนในห้องมาอยู่ในทีมเราได้ ฝนรู้แต่ว่าฝนอยากทำหนังรัก เราก็มองโจทย์ว่า รักแบบเด็กก็มีแล้ว รักแบบวัยรุ่นมันก็มีแล้ว เราทำหนังรักคนแก่แล้วกัน ซึ่งตอนนั้นเขียนบทมา ผ่านตั้งแรก ตั้งแต่ขายรอบแรก ดีใจมาก หลังจากนั้นอาจารย์ที่ดูแลโปรเจ็คต์นี้คือ "อาจารย์เต้ย-พีรชัย เกิดสินธุ์" (ผกก. The Isthmus ที่ว่างระหว่างสมุทร) ค่ะ คือแกให้เราแก้บททุกวัน ทำบททุกวัน แก้จนฝนไม่รู้จะแก้ไรแล้ว ให้ขยับขวดน้ำปลา ยังรู้สึกว่าต้องมีความหมาย อาจารย์ให้หนูแก้อะไรคือหนูไม่รู้จะแก้อะไรแล้ว

จนถึงตอนถ่ายทำก็ต้องไปแคสติ้งนักแสดงมา เราก็เจอป้าอู๊ดกับลุงนพ ด้วยความที่เค้าดูแลเอาใจใส่กันเป็นพิเศษ เราก็เลยคิดว่าเค้าต้องเป็นแฟนกันแน่เลย ก็เลยแอบดูเค้ากระหนุงกระนิงกัน คุยกัน น่ารักมาก ด้วยความอยากรู้เราก็เลยคุณป้า ป้าอู๊ดเค้าใช้คำที่น่ารักมากๆ เค้าบอกฝนว่า ทุกคนต่างเข้าใจกันไปหมดเลยว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน เป็นสามีภรรยากัน ซึ่งจริงๆ แล้วเราทั้งคู่ต่างมีครอบครัว แล้วก็เป็นพ่อม่ายแม่ม่าย แล้วเราก็มาเจอกัน เค้าไม่ขอใช้คำว่าแฟนหรือกิ๊ก เค้าใช้คำว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เราเป็นเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจกัน แล้วความเป็นเพื่อนในบางครั้งลูกก็ให้ไม่ได้ ลูกพูดไม่ได้ ลูกไม่เกิดความเข้าใจในจุดนี้ เราเลยรีบมาเล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์รู้มั้ยเนี่ย นักแสดงหนูน่ารักมากเลยนะ อาจารย์เลยบอกว่าทำไมเธอไม่ทำเรื่องนี้ล่ะ แต่ว่าเราเปลี่ยนเรื่องมาเยอะแล้ว จนสุดท้ายฝนก็เลยไปขอว่าหนูอยากทำเรื่องนี้ได้มั้ย ทั้งคู่ก็อนุญาต แล้วก็เร็วมากในการเขียน แล้วพอเราไปถ่าย ตอนนั้นเราก็ทำหนังไม่เป็นเลย ถ่ายมา ถ่ายผิด ถ่ายพลาด ต้องแก้ใหม่ทั้งหมด สองคนนี้เค้าก็น่ารักมากยอมมาถ่ายใหม่ จนทุกวันนี้ป้าอู๊ดก็ถือเป็นญาติผู้ใหญ่ให้กับฝน ฝนก็เลยตีโจทย์ความรักนี้ว่า มันเป็นความรักที่คน 2 คนมาคบกันในแบบที่เข้าใจกัน มันไม่มีเรื่องเซ็กส์ มันไม่มีเรื่องอะไรที่มันมาครอบเค้าทั้งสองคน มันคือการดูแลซึ่งกันและกัน มันจึงเกิดเป็นหนังเรื่อง "เวลา...รัก" ขึ้นมา ซึ้งได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก ดีมากจนเรารู้สึกว่า นี่คือพลังของการเล่าอะไรสักอย่าง จนกระทั่งพี่เก้งสนใจ อยากจะเอามาพัฒนาต่อ เพราะเค้าก็เหมือนกับว่ามีโปรเจ็คต์หนังที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุอะไรอย่างนี้อยู่แล้ว มันก็คือการต่อยอดไป ก็เลยเป็นหนังที่แบบเหมือนคู่บุญกันเลยตอนนั้น ตอนนี้ฝนกับคุณป้าก็ยังเป็นลูกหลาน เป็นหลานรักกันอยู่

พอเรียนจบก็เริ่มเข้าสู่วงการภาพยนตร์อย่างเต็มตัว

เข้าวงการมาแบบเต็มตัวก็คือมาทำโปรดักชั่นค่ะ มาทำคอนทินิว (ควบคุมความต่อเนื่อง) ก่อน แล้วก็มาทำผู้ช่วยผู้กำกับ หลังจากนั้นก็มีการเขียนบทค่ะ มันคาบเกี่ยวกับตอนที่เราเรียนจบพอดี พี่ปรัชกับพี่อ๊อดก็บอกว่า มันน่าจะถึงเวลาแล้วนะ ฝนก็เรียนจบแล้ว แล้วก็เหมือนกับเข้ามาทำงานตรงนี้ ฝนมองว่าพี่ๆ เค้าให้มาฝึกมากกว่าว่าเราจะทำได้มั้ย เพราะว่ามันเยอะมาก เยอะกว่าห้องเรียนจริงๆ พอถึงเวลาที่เรียนจบปุ๊บ พี่เค้าก็บอกว่า มีอะไรจะเสนอมั้ย ลองมาเสนอดู เราก็เสนอโปรเจ็คต์ไปแต่ว่าไม่ผ่าน (หัวราะ) พอหลังจากกนั้นก็มีการเขียนบทไปเรื่อย มีหนังสั้นมาก็เขียน มันก็เหมือนพัฒนาตัวเองไป แต่ว่าก็ได้สอน คือเรียนจบมาไม่นาน ก็ได้ไปเป็นผู้ช่วยสอนก่อนเทอมสองเทอม หลังจากนั้นก็ได้สอนจริงๆ ฝนว่าจริงๆ มันคือรวมๆ แล้วการได้ไปสอน เราก็ไม่ลืม มันก็พูดอยู่ทุกๆ วัน มันก็เลยฝึกไปเรื่อยๆ ก็ทำอยู่สองสามอย่าง ไปออกกอง ไปเป็นผู้ช่วยด้วย ไปกำกับเองบ้างที่เป็นตัวหนังสั้นตามโครงการต่างๆ

ชอบอย่างไหนมากกว่ากันระหว่างเขียนบทกับการกำกับ

จริงๆ ถ้าถามความชอบเนี่ย ฝนชอบกำกับเพราะว่า ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ ชอบคุย เป็นคนชอบคุยมาก แล้วการเขียนบทนี่มันเป็นสิ่งที่เราไม่คิดว่าเราจะทำได้ แล้วดันทำได้ แล้ววันหนึ่งเราก็ เออ...เราชอบว่ะ แต่ถ้าถามว่าให้เรียงลำดับ เราชอบกำกับมากกว่า แต่การเขียนบทนะคะ บางครั้งมันก็เหนื่อย เรารู้สึกว่าแบบรสนิยมในการชอบของแต่ละคน แล้วเราต้องเขียนให้เค้า แล้วเรารู้สึกว่าไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของไอเดียซึ่งมันยาก จนเวลาที่มันผ่านๆ มา มันทำให้เราค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยๆ ปรับทัศนคติว่า เราจะทำยังไงในโจทย์ที่เราไม่ถนัด ไม่ชอบ แล้วเราจะทำยังไงให้เราชอบ เพราะการเขียนบทมันคือเราต้องชอบก่อน และยิ่งมาสอนเขียนบทกับนักศึกษาด้วย มันจะเป็นตัวตอบโจทย์ทันทีว่า เราไม่อยากเขียนอะไรที่เขียนแล้วมันไม่ดี เราอยากเขียนที่อย่างน้อยๆ มันต้องดีนะ อย่างน้อยๆ มันต้องรู้เรื่อง มันต้องครบเครื่องนิดนึงในโจทย์ที่เราได้รับมา มันถึงมีภาวะความเครียดอยู่ แล้วมันต้องอยู่กับที่ (หัวเราะ) ต้องมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง

: ฝน ขนิษฐา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • "ฝน-ขนิษฐา" เผย "เปรต อาบัติ" ผ่านเซ็นเซอร์แล้ว พร้อมฉาย 16 มีนานี้ โอกาสเดียวอยากให้ได้ชม
  • ผกก. "ฝน ขนิษฐา" ปลื้ม "อาปัติ" ตัวแทนหนังไทยชิงออสการ์ สาขาหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมปีล่าสุด
  • ฝน-ขนิษฐา ปลื้มกระแส "อาปัติ" แรง
  • "ฝน ขนิษฐา" กำกับครั้งแรก ยืนยันหนัง "อาบัติ" เน้นบาปบุญคุณโทษ ไม่ลบหลู่ศาสนา
  • "ปรัชญา" มั่นใจ ดัน "ฝน ขนิษฐา" กำกับ "อาบัติ" ชี้หนังมีเจตนาดี ไม่ทำศาสนาเสื่อม
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :