Top
noon


      “สัมภาษณ์ นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา รับบทเป็น “ปรียา”

      จากภาพยนตร์เรื่อง Home

         



คำถาม
คาแรกเตอร์
  
นุ่น
ในเรื่อง Home นุ่นรับบทเป็นปรียาค่ะ ปรียาโดยพื้นเพแล้ว
เป็นคนเชียงใหม่ เกิดที่เชียงใหม่เรียนหนังสือที่เชียงใหม่
มีสังคมมีเพื่อน พอถึงจุดๆ นึงต้องย้ายไปเรียนที่กรุงเทพแล้ว
ก็ไปพบรักกับเสี่ยเล้งที่เป็นเจ้านายเรา เหมือนไปทำงาน
ให้เค้าแล้วก็ไปรักกับเค้า สุดท้ายก็กลับมาแต่งงานที่เชียงใหม่
ลึกๆ แล้วตัวปรียาเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะวิตกจริตง่าย
กังวลคิดมากเพราะว่าโดยพื้นฐานน่าจะเกิดจากการที่อยู่กับ
น้องแค่สองคนแล้วโตมากับญาติๆ ก็เลยเป็นพวกที่คิดเล็ก
คิดน้อยคิดมากคิดฟุ้งซ่านแต่งเติมเองตลอดเลย ในเรื่องนี้
ใครพูดอะไรหน่อยก็เอากลับมาคิด ใครแสดงท่าทางกริยา
ที่เราระแวดระวังก็เอากลับมาคิด มันจะเป็นอย่างนั้นไหม
อย่างนี้ไหม มันจะดีหรอ อะไรประมาณนี้ค่ะ ไม่ค่อยจะ
มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจเท่าไหร่ เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้น
ของความวุ่นวายในงานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง

 
คำถาม ทำไมถึงตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้

นุ่น
ง่ายมากไม่ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจอะไรมากมายหรือนานเลย
จริงๆ นุ่นรู้จักกับมะเดี่ยวเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว นุ่นเคยเอาบทหนัง
ทรีทเมนท์หนังไปให้มะเดี่ยวช่วยคอมเม้นท์ พอคุยไปคุยมา
อ้าวเป็นคนเชียงใหม่เหมือนกันเหรอเนี่ย (พูดเหนือ) แล้วมะเดี่ยว
ก็มาเรียนที่เชียงใหม่ตั้งแต่เด็ก แต่นุ่นเหมือนมาอาศัยเชียงใหม่
เขาเกิด ไปๆ มาๆอยู่หลายที่มากพอรู้ว่าเป็นคนบ้านเดียวกันก็เลย
คุยกันถูกคอ อายุก็เท่ากันก็เลยเริ่มจากความเป็นเพื่อนมาก่อน
แล้ววันนึงมะเดี่ยวก็บอกว่า “นี่เธอฉันมีบทนึงเธอต้องอินแน่ๆ เลย”
 แล้วมะเดี่ยวก็โทรมาอีกทีเพื่อจะคุยเรื่องบทให้ฟัง แต่นุ่นยังไม่ทันฟัง
ก็โอเคเล่นเลย เพราะส่วนตัวอยากทำงานกับมะเดี่ยวอยู่แล้วค่ะ
เหมือนมันเป็นสัญญาใจกัน  ต้องบอกว่ามะเดี่ยวเป็นคนเก่ง
เราเคยดูงานรักแห่งสยามของมะเดี่ยวมา แล้วพอมาได้รู้จักกัน
เป็นการส่วนตัว มะเดี่ยวเป็นคนที่มีมุมมองความคิดที่เป็นผู้กำกับ
ที่ดีมาก ทัศนคติส่วนตัวเขาโอเค เราเลยรู้สึกว่าเราอยากทำงานกับ
คนแบบนี้มันน่าจะสนุกเลยเป็นความตั้งใจลึกๆ ว่าถ้าเขาชวนจะ
ไม่ถามเลยว่าบทอะไรเพราะว่าเขาจะต้องเลือกนักแสดงที่มัน
เหมาะสมกับบทแล้ว ส่วนตัวคิดว่าเขาคงคิดแล้วก็เลยโอเค ยังไม่
ถามเรื่องเลยด้วยซ้ำ ให้เล่นอะไรก็จะเล่นกับมะเดี่ยวนี่แหละ (หัวเราะ)



คำถาม      
อ่านบทเรื่องนี้ครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้าง

นุ่น อ่านบทเรื่องนี้ครั้งแรกเป็นบทที่ยังไม่ได้เต็มสมบูรณ์แบบ 100
เปอร์เซ็นต์ ยังเป็นร่างเลย ตอนได้อ่านครั้งแรกอยู่ๆ ก็นั่งร้องไห้
ตอนอ่านทรีทเม้นท์แล้วนั่งร้องไห้คนเดียว อินมาก รู้สึกว่ามัน
เขียนจากตัวคนจริงๆ เวลาคนที่ชีวิตจริงยังไม่เคยแต่งงาน
ยังไม่เคยอยู่ในโมเม้นท์ที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน แต่ว่าบทมัน
สะท้อนถึงความคิดความกังวลของคนที่คิดมาก คิดไปเอง
วิตกจริตกับทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง จากเรื่องเล็ก
มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ สิ่งที่ชอบจากบทที่ทำให้เราร้องไห้คือว่า
ในมุมมองความรักของเรื่องนี้มันลึกซึ้ง มันไม่ใช่ความรักที่แบบ
ในหนังพระเอกกับนางเอกมาเจอกันแล้วบอกนางเอกว่าผมรักคุณ
นะ แค่กอดเองด้วยซ้ำมันยังไม่มีคำว่ารักเลย แต่ทุกคำพูดมันมี
ความลึกซึ้งอยู่ เป็นคนจริงๆ อ่านแล้วก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียวที่บ้าน
ไม่ผิดหวังเลยที่ไม่ได้ทันฟังมะเดี่ยวเล่าบทให้ฟังแต่แรก คือคิดว่า
ตัดสินใจถูกแล้วที่เล่น


คำถาม แล้วพอมาเล่นจริง มีความแตกต่างหรือติดขัดอะไรจากที่
คาดหวังเอาไว้บ้างไหม


นุ่น มีค่ะ ตอนมาเล่นก็จะมีติดขัดจุดที่สำคัญเลยคือเรื่องของภาษา
ถึงนุ่นจะเกิดที่เชียงใหม่แต่ก็ไม่ได้ฝึกอู้คำเมืองมาตั้งแต่เด็ก
ฉะนั้นนุ่นก็จะไม่สามารถพูดสำเนียงที่ถูกต้องได้จริงๆ มัน
ไม่ใช่แบบเชียงใหม่แท้ๆ เพราะนุ่นก็ไปโตลำปางมั้ง ไปโต
ที่พะเยาะบ้าง ตอนเด็กๆ ต้องไปอยู่หลายจังหวัดมากแล้ว
สำเนียงต่อให้เหนือเหมือนกันแต่แต่ละจังหวัดก็จะมีสำเนียง
ที่ไม่เหมือนกัน เราไปอยู่ตรงไหนก็ไปฟังสำเนียงที่โน้นที
ที่นี่ทีแล้วก็เอามาผสมกันมั่วไปหมด แต่เล่นเรื่องนี้ต้องการ
สำเนียงแบบคนเชียงใหม่จริงๆ เพราะมะเดี่ยวก็เป็นคน
เชียงใหม่แท้ๆ เพราะฉะนั้นหูเขาจะไวมากว่าอะไรใช่ไม่ใช่
คำไหนที่เพี้ยนไป วันแรกที่นุ่นมาเล่นเครียดมากพูดคำเดียว
ก็ยังไม่ผ่านเลย 10 กว่าเทคได้มั้ง มันก็เลยกลายเป็น
ความกังวล พอเล่นเราก็จะพะวงทั้งสองอย่างไหนจะความ
รู้สึกของตัวละคร ไหนจะต้องออกสำเนียงให้ได้อีก แยก
ประสาทกันน่าดู อันนี้เลยล่ะที่นุ่นถือว่าเป็นอุปสรรคที่สุด
สำหรับการเล่นเรื่องนี้ แต่ว่าก็ต้องพยายามไม่ให้มันเกิด
ความเครียดไม่งั้นเราก็จะเล่นไม่ได้




คำถาม ได้มาร่วมงานกับมะเดี่ยวเห็นอะไรในตัวมะเดี่ยวบ้าง

นุ่น แอบเม้าท์ผู้กำกับใช่ไหม (หัวเราะ) ตอนมาร่วมงานกันในเรื่องนี้
มันไม่เหมือนกับว่าเรามาทำงานเท่าไหร่นัก เพราะอย่างที่บอกมะเดี่ยว
กับนุ่นรู้จักกันมาปีกว่าเกือบ 2 ปีแล้ว พอวันนึงได้มาทำงานด้วยกัน
ก็จะมีอีกมุมนึงที่เราอาจจะไม่เคยเห็น วิธีการพูดและมุมมองในความ
คิดของมะเดี่ยวไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมจากที่เราเคยรู้จัก แต่สิ่งที่มัน
เพิ่มเติมเข้ามาคือความจริงจังของเขา ปรกติเวลาเราคุยกันเขาจะเป็น
คนอารมณ์ดีมีมุขตลอด มะเดี่ยวเป็นคนสนุกสนานและชอบให้เรามอง
อะไรแต่ในด้านที่ดี เขาจะคอยสอนให้เรามองให้เห็นด้านดีแล้วมันจะ
ทำให้เกิดเป็นพลังบวก พอเรามาทำงานกับเขาเราก็เอามาใช้ บางที
นุ่นเครียดกับบทกับสำเนียงมากๆ มะเดี่ยวก็จะคอยบอกว่าไม่เป็นไร
นะ เวลาที่มะเดี่ยวทำงานจะเป็นคนจริงจัง บางทีคำพูดอะไรเล็กๆ
น้อยๆ เขาก็จะไม่ปล่อยให้มันผ่านไป มันทำให้เรารู้สึกว่าเออ มะเดี่ยว
จริงจังกับงานมาก ใส่ใจกับงานทุกจุด มันเลยมีอะไรมากกว่าการที่เรา
มองเคยมองเห็น ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องที่ดี เราได้เห็นความตั้งใจของ
เขาเพิ่มมาอีกมุมนึง


คำถาม มีความประทับใจอะไรเป็นพิเศษไหมสำหรับกับมะเดี่ยว
นุ่น นุ่นว่ารวมๆ แล้วก็คือสิ่งที่เขาเป็นนั่นแหละ ประทับใจสุดก็คือเรื่อง
ที่เขาไม่เคยลืมว่าเขาเป็นคนเชียงใหม่ แล้วก็เป็นคนสนุกสนานใน
การอู้คำเมืองกับเพื่อนๆ แล้วก็ประทับใจในเรื่องของวิธีการทำงาน
อย่างนุ่นจะเป็นคนทำงานจริงจังเหมือนกัน เวลาทำงานอาจถึงขั้น
ซีเรียส เครียด แล้วคนรอบข้างจะรู้สึกไม่กล้าเข้าใกล้นุ่น แต่กลับ
กันเลยมะเดี่ยวเป็นคนทำงานตั้งใจจริงจังแต่ไม่เครียดและอารมณ์ดี
มันทำให้แผ่พลังงานด้านบวกให้คนรอบข้าง คนที่ทำงานกับเขาก็จะ
ไม่เครียดไปด้วย บรรยากาศในกองมันไม่ใช่ว่า “เฮ้ย...ผู้กำ
กับบ่นแล้วเว้ย ไม่พอใจแล้วเว้ย” มันไม่ใช่ พอทุกคนไม่เครียด
งานก็เลยยิ่งออกมาดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยประทับใจในที่สุด

คำถาม บอกว่าเป็นคนเครียดง่ายแล้วเรื่องนี้เครียดไหม
นุ่น นุ่นเป็นคนเครียดง่าย จริงๆ เรื่องนี้เครียดแค่อย่างเดียวคือเรื่อง
ของการออกเสียง อย่างเรื่องอื่นเช่นเรื่องบท พอเป็นพวกเรื่อง
ความรักนุ่นจะเป็นคนอินง่ายมาก บางทีบทอาจจะยังไปไม่ถึงจุด
แต่นุ่นจะไปอินไปไกลแล้ว จะฮามากอย่างซีนธรรมดาๆ ไม่ได้
มีอะไรซับซ้อนเลย นุ่นก็จะอินมากจะร้องไห้แล้ว มะเดี่ยวก็จะ
คอยบอกว่า “เฮ้ย..อย่าเพิ่งร้องมันยังไม่ถึงขนาดนั้น”
แล้วเราก็ร้องไปก่อนแล้วอะไรอย่างนี้ค่ะ (หัวเราะ)


คำถาม ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ร่วมงานกับเจมส์เลยหรือเปล่า
แล้วเป็นอย่างไรบ้าง
นุ่น พี่เจมส์ก็เป็นผู้ชายตัวสูงมาก เคยเห็นในทีวีก็ว่าสูงแล้วนะแต่ตัว
จริงสูงมาก แล้วก็นุ่นจะเกร็งเพราะนุ่นเคยดูพี่เจมส์เขาเล่นละคร
เวทีมาก่อนด้วย คือมันรู้สึกได้อย่างนึงเลยว่าคนที่เล่นละครเวที
มาก่อน นุ่นรู้สึกว่าต้องเป็นคนที่เก่งมากทุกอย่างมันสดมันใช้พลัง
 ใช้สมาธิสูง นุ่นเลยกังวลเครียดว่าเขาจะโอเคกับเราไหม
เรายังเด็กอยู่เลยชั่วโมงบินเรายังน้อย แต่พี่เจมส์นี่ผ่านมาหมด
แล้วทั้งละครเวที ละครทีวี นักร้อง ศิลปินตัวจริง แต่พี่เจมส์เขา
เป็นคนโอเคมากยิงมุกปล่อยมุกตลอดเลย ตอนแรกๆ ที่พี่เจมส์
เล่นมุกในกองเราก็ยังขำไม่ออกนะ ไม่รู้ว่าจะอารมณ์ไหนดี
จะขำก็ไม่กล้าหน้าตาพี่เจมส์ก็จริงจังมาก (หัวเราะ)
ตอนนั้นเดินทางมาเชียงใหม่พร้อมกันไง แล้วก็เริ่มรู้สึกว่า
พี่เจมส์ก็เป็นคนตลกนี่หว่า มาตอนหลังแกก็ไม่เลิกเล่นมุขนะ
ทุกคนก็เลยรู้สึกเป็นมิตรมากยิ่งขึ้น ที่นี้ก็ฮากันทั้งกองเลย
การทำงานมันเลยง่ายขึ้นไม่มีอะไรต้องเกร็งมากอย่างที่เราคิด


คำถาม ประทับใจอะไรในตัวพี่เจมส์หลังจากเริ่มได้ร่วมงานกัน

นุ่น สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือพี่เจมส์เป็นคนมีสมาธิในการทำงาน
สูงมากค่ะ เห็นเขาเล่นๆ บรรยากาศในกองมันจะสนุกสนานแต่
สังเกตว่าเวลาก่อนเข้าฉากเขาจะมีสมาธิกับตัวเองก่อนเข้าฉาก
เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้เห็นนักกับการทำงานกับพาร์เนอร์ที่ต้องเข้า
ฉากกับเรา เป็นอะไรที่ดูจริงจังกับการทำงานที่ดีมันก็ส่งให้เรา
ตั้งใจไปด้วย ถ้าใครได้มาเยี่ยมชมกองถ่ายก็จะเห็นว่าบางที
พี่เจมส์ก็จะหลบออกไปห่างๆ ไปนั่งสมาธิอยู่พักนึงก่อนที่จะมา
เข้าฉาก ทีมงานที่ทำงานด้วยกันเห็นกันเป็นปรกติพอรู้ว่าพี่เจมส์
ไปนั่งทำสมาธิทุกคนก็จะทำอะไรกันเงียบๆ เพื่อให้พี่เจมส์มีสมาธิ
ที่สุด แล้วก็เป็นผลดีค่ะเวลาเข้าฉากด้วยกันรู้เลยค่ะว่าพี่เจมส์ตั้ง
สติและมีสมาธิดีมากๆ


คำถาม มีฉากไหนที่ได้ร่วมงานกับพี่เจมส์แล้วรู้สึกประทับใจมาก

นุ่น จริงๆ ประทับใจทุกฉากเลย แต่มีอยู่ฉากนึงที่ตอนที่นุ่นอ่านบทแล้ว
ร้องไห้เลย เป็นฉากที่เสี่ยเล้งซึ่งแสดงโดยพี่เจมส์นี่แหละ เสี่ยเล้งเขา
พูดความรู้สึกของตัวเองบ้างหลังจากที่เราจะแทบไม่ได้เห็นเสี่ยเล้ง
แสดงอาการอะไรออกมาเลยตลอดทั้งเรื่อง มันมีความประทับใจใน
ตัวบทมากกว่า มันมีประโยคประโยคนึงซึ่งบอกไม่ได้ แต่เรียกน้ำตา
นุ่นออกมาได้เลยระหว่างที่อ่านบทอยู่ มันเป็นอะไรที่อยากให้คนได้
ไปดูกัน อยากจะบอกนะว่าในเรื่องพูดกันเรื่องอะไร แต่บอกไม่ได้
จริงๆ ต้องไปดูกันเอาเอง
คำถาม เรื่องนี้ก็ได้ร่วมงานกันกับน้องใหม่จากรักแห่งสยาม น้องพิช
เป็นอย่างไรบ้าง
นุ่น นุ่นเห็นน้องพิชเล่นเรื่องรักแห่งสยามมาแล้ว รู้ว่าน้องพิชนี่เป็นคน
ที่ทำงานกับมะเดี่ยวมาไม่น้อยในเรื่องของเพลง มีโอกาสได้ไปเจอ
กันที่บ้านมะเดี่ยวบ่อยๆ ตอนที่เริ่มรู้จักกับมะเดี่ยว แต่ยังไม่ได้คุย
อะไรจริงจังกับน้องพิช พิชเป็นเด็กมีความสามารถในการแสดง
และดนตรีคนนึงซึ่งผลงานก็ดูได้เลยจากเรื่องรักแห่งสยาม นุ่น
ได้มีโอกาสเพิ่งมาเริ่มได้พูดคุยกันก็ตอนช่วงนี้ช่วงที่ถ่ายหนัง
ด้วยกัน น้องพิชเป็นผู้มีพระคุณเป็นคนที่ช่วยแอ๊คติ้งโคททาง
ภาษาก่อนเข้าฉาก (หัวเราะ) คือน้องพิชจะแม่นในเรื่องของ
ภาษาคนเชียงใหม่มากกว่านุ่นเยอะ เขาก็จะเป๊ะมากไม่ต่าง
อะไรจากมะเดี่ยวเลย นุ่นต้องเปิดบทคุยกับน้องพิชแล้วให้น้อง
พิชสอน คือมะเดี่ยวจะสอน 1 รอบแล้วส่งมาให้น้องพิชมา
ประกบอีกรอบ น้องพิชก็จะคอยดูสำเนียงถูกต้องหรือยัง แล้ว
น้องก็จะอดทนกับพี่มาก เพราะพี่เสียงแปร่งมากกว่าจะพูดได้
น้องพิชเขาก็จะย้ำๆ จนกว่านุ่นจะได้ ในเรื่องน้องพิชมารับบท
เป็นน้องชายของนุ่น นุ่นรู้สึกว่าพิชเป็นน้องจริงๆ ค่ะ ก็ในเรื่อง
มันต้องเล่นรับส่งเป็นพี่น้องที่มีความห่วงใยเอื้ออาทรกันจริงๆ
 ทีนี้ก็ง่ายเลยเพราะเราเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว น้องมาสอนพี่พูด
คำเมืองด้วยซ้ำ ระหว่างอยู่ที่กองถ่ายนุ่นกับพิชก็เลยสนิทกัน
มาต้องมาเล่นบทที่ต้องมีการรับส่งกัน เข้าใจความรู้สึกซึ่งกัน
และกันมันก็ง่ายมากขึ้นค่ะ


คำถาม ประทับใจอะไรในตัวพิชบ้างตั้งแต่เริ่มรู้จักกันมา

นุ่น อย่างแรกเลยที่ประทับใจในตัวน้องพิชคือเขาเป็นคนมีความ
เป็นธรรมชาติสูง รู้สึกได้อย่างเวลาที่นุ่นต้องเข้าฉาก เราอยู่
กับงานด้านการแสดงมาก็พอสมควรแล้ว เวลาที่เราเล่นมันก็
จะติดมีแอคติ้งอยู่บ้างมันเป็นการแสดงอยู่ในบางครั้ง แต่น้อง
พิขเขามีความเป็นธรรมชาติสูงกว่า เขาจะเล่นอะไรที่ปรับ
ทั้งหมดดูแล้วมีความเป็นธรรมชาติดูแล้วเชื่อว่านี่คือเลี่ยม
(ชื่อตัวละครที่พิชเล่นในเรื่อง) นุ่นว่าน้องเขาแจ๋วดีเห็น
เป็นเด็กแบบบนี้แต่ก็คุยเข้าใจได้ง่าย สอนพี่อู้เมืองเริงร่าใน
กอง เวลาที่เขาทำงานเขาก็จะทุ่มเทไม่งอแง เวลาที่นุ่นเห็น
งานของน้อง เวลาไปเช็คมอนิเตอร์แล้วรู้สึกได้เลยว่าพิชมี
ความเป็นธรรมชาติในการแสดงสูง อันนี้เป็นจุดที่นุ่นชื่นชม
น้องมากค่ะ


คำถาม เรื่องนี้มีอีกคนที่ต้องเล่นคู่กันกับนุ่น คือพี่ลิฟท์ ร่วมงานกับพี่เขา
เป็นอย่างไรบ้าง


นุ่น นุ่นคนนึงละที่ยกมือได้เลยว่าเป็นแฟนเพลงของพี่ลิฟท์คนนึง ก็
เคยซื้ออัลบั้มเขาอยู่สมัยก่อน วันแรกที่ได้มาเจอพี่ลิฟท์นี่แสดง
ตัวทันที นุ่นมาถึงก็พยายามเต้นโชว์พี่เขาเลย (หัวเราะ)
พี่ลิฟท์ก็เป็นคนน่ารักค่ะเลยร่วมงานกันมาก่อนหน้านี้ เคยเล่น
ละครด้วยกัน ในเรื่องพี่ลิฟท์มาเล่นเป็นคนรักเก่าเมื่อครั้งสมัย
เรียนของปรียา ต้องมาเล่นหนังเรื่องนี้ก็มีต้องมองหน้ากัน
สบตากันคิดถึงอดีตเก่าๆ ที่เคยดีต่อกัน ก็เป็นอะไรที่แปลกๆ
แล้วก็ตลกดีค่ะ ได้เปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ๆ กับพี่เขา
ตลอดเวลา แต่พี่เขาก็น่ารักสม่ำเสมออยู่แล้วอีกเรื่องนึงที่
อยากพูดถึงพี่ลิฟท์คือ นุ่นก็ไม่เข้าใจทำไมทุกคนในกองถ่าย
สมมติเวลาที่พี่ลิฟท์เข้าฉากกับนุ่นเสร็จ ทุกคนก็จะไปรวมกัน
อยู่หน้ามอนิเตอร์แล้วก็พูดว่าน่ารักจังเลย พี่ลิฟท์หล่อเนอะ ยิ้ม
น่ารักเนอะ คือทุกคนมองข้ามเราไปเหมือนเราเอ้าโฟกัสแล้วไป
โฟกัสที่พี่ลิฟท์คนเดียว (หัวเราะ) สาวๆ ในกองก็ยิ้มกันตาฉ่ำ
เลยเวลาที่มีพี่ลิฟท์มาเข้าฉากด้วย ก็เข้าใจได้ที่พี่เขาเป็นผู้ชายที่
มีรอยยิ้มอบอุ่นน่ารัก อันนี้เข้าใจได้ แต่อิจฉานิดหน่อย(หัวเราะ) 


คำถาม มีอีกคนนึงที่เล่นเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเรา ดีเจตัวแม่อย่างอาตุ่ยเลย
ร่วมงานกันครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง


นุ่น

นุ่นเคยร่วมงานมาแล้วกับอาตุ่ย แต่มาเรื่องนี้อาตุ่ยตลกมาก อาตุ่ย
เป็นคนใต้แต่พูดคำเมืองชัดกว่านุ่นอีก แล้วอาตุ่ยก็เคยเหยียดหยาม
ว่า “นี่หล่อนทำไมหล่อนอู้ไม่ได้” อาเขามีความน่ารักมากเห็น
อย่างนี้ชอบแกล้งนุ่น อาตุ่ยเป็นดีเจที่มีความเป็นนักแสดงสู้มากเป็น
คนส่งบทส่งอารมณ์ที่ดีมาก ในเรื่องอาตุ่ยมารับบทเป็นคุณน้าของ
ปรียา คุณน้าที่มีคาแรกเตอร์แปลกๆ แต่ให้เขาเล่นเองว่าแปลกยัง
ไงอันนี้ไม่ขอบอกแกเล่นได้ธรรมชาติมาก แต่เวลาพอถึงฉากที่ต้อง
ใช้ความรู้สึกใช้อารมณ์เยอะๆ อาตุ่ยเป็นคนส่งบทดีมาก ใครอย่าคิด
ว่าอาตุ่ยเล่นตลกได้อย่างเดียว เถียงเลย อาตุ่ยเขาสามารถเอาความ
รู้สึกของตัวละครออกมาได้จริงๆ มีอยู่ฉากนึงที่อาตุ่ยต้องแสดง
อารมณ์เศร้ามีร้องไห้พอเล่นเสร็จไปทานข้าวกัน ตอนทานข้าวอาตุ่ย
บอกว่า “เนี่ยตั้งแต่เล่นหนังเล่นละครมานะไม่เคยร้องไห้ให้กับใคร
เลย” แต่ตอนที่ถ่ายจริงเสียดายที่กล้องไม่ได้ถ่ายให้เห็นอาตุ่ยตอน
มีน้ำตา กล้องถ่ายผ่านหลังอาตุ่ยมาหน้านุ่นแต่อาตุ่ยร้องไห้ คือเขามี
อินเนอร์ที่ดีมาก เขาทำให้เราเล่นได้ง่ายขึ้นเยอะเลย สกิลสูงมาก
อาคนนี้


คำถาม ในหนังเรื่องนี้เราพูดถึงความทรงจำดีๆ ในเรื่องของความรัก
ของมะเดี่ยว ตอนนี้มาของนุ่นมั่งนุ่นมีความทรงจำอะไรที่ดี
ที่อยากพูดถึงบ้างไหม


นุ่น ถ้าเป็นความประทับใจ จริงๆ มันมีเยอะนะคะแต่ถ้าการได้มาอยู่
ที่นี่อีกครั้งมันทำให้นุ่นคิดถึงสมัยเรียนวิศวะมช.
(มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) มันเป็นช่วงเวลา 4 ปีที่ได้อยู่
เชียงใหม่ เมื่อก่อนนุ่นก็ไปโตและไปเรียนหนังสือที่นู้นที่นี่เพราะ
ต้องย้ายตามพ่อไปเรื่อยๆ แต่ว่าพอย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัย
ต้องขับรถจากบ้านที่สันกำแพงไปมช. เลิกเรียนเสร็จก็ไม่ได้
ไปไหน ก็กลับบ้านมาอยู่กับคุณยาย เป็นความทรงจำที่ดีที่ได้ใช้
เวลาอยู่กับคุณยายเยอะมากช่วงนั้นอยู่บ้านตลอดไม่ได้ไปไหน
 แล้วหลังจากเรียนจบก็ต้องไปทำงานที่กรุงเทพเลย แล้วชีวิตนุ่น
ก็เปลี่ยนโดยสิ้นเชิง มันเป็นความทรงจำที่แบบเราไดเอยู่ในเมือง
ที่น่ารัก บรรยากาศที่ดี อยู่กับเพื่อนฝูงที่น่ารัก อยู่กับครอบครัว
เสาร์อาทิตย์คุณพ่อคุณแม่คุณน้องก็จะกลับมาเจอกัน เป็นช่วง
เวลาที่อบอุ่นมาก แล้วก็คิดว่าคงหายากแล้วที่จะได้กลับมาอยู่กัน
อย่างนี้ มันก็ต้องดำเนินชีวิตกันต่อไป ทำงานต่อไป นี่เป็นความ
ทรงจำที่ดีมาก


คำถาม แล้วการที่เราได้มาถ่ายทำกันที่เชียงใหม่ ความรู้สึกผูกพัน
กับที่นี่สำหรับนุ่นเป็นอย่างไรบ้าง


นุ่น นุ่นมาเรียนหนังสือที่นี่ตั้งแต่ปี 1- ปี 4 ซึ่งก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
ตอนนี้เชียงใหม่มันก็เปลี่ยนตามกาลเวลา สมัยที่นุ่นยังเป็นนักศึกษา
คนเชียงใหม่ยังสบายๆ ตอนนี้ก็ยังสบายอยู่เพียงแต่ว่าอาจจะเฉพาะ
แถวในมหาวิทยาลัยมั้ง แต่ในเมืองที่มันมีความเติบโตขึ้น แถวม.
ก็จะมีร้านเหล้ามีผับบาร์ ร้านอาหารหรือว่าร้านเก๋ๆ ซึ่งมีหลายแบบ
จะชิวจะฮาร์ทคออะไรก็เยอะขึ้น มันเริ่มมีอะไรวุ่นวายมากขึ้น ใน
เมืองก็จะเริ่มมีมุมสวยๆ ร้านสวยๆ ร้านขายของ ร้านที่มีงานดีไซน์
เยอะขึ้นเชียงใหม่ก็เติบโตขึ้น แต่ไม่รู้สินุ่นว่าบางอย่างมันยังอยู่
ถ้าเป็นที่อื่นนะนุ่นว่าด้วยเวลาที่ผ่านไปขนาดนี้ความเจริญที่มันเข้า
มาขนาดนี้มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้เยอะกว่านี้ แต่วันนี้มันก็ยัง
อยู่ถึงมันจะมีอะไรที่ทันสมัยมากขึ้นแต่มันก็ยังมีกลิ่นของคนเชียงใหม่
อยู่ ไปไหนยังได้ยินการอู้คำเมืองอยู่ ยังมีรถแดงที่แบบอยู่ๆ จะจอดก็
จอดตั้งแต่ไหนแต่ไรมา การทักทายคนแปลกหน้าคนต่างถิ่นด้วย
ภาษาคำเมือง การต้อนรับกลิ่นอาย เสื้อผ้า ถึงแม้ว่าบางอย่างมันจะ
เข้ามา แต่ว่าก็ยังเห็นคนแต่งผ้าพื้นเมืองอยู่ ก็ยังอยากให้จิตวิญญาณ
ของเชียงใหม่ยังอยู่แบบนี้ค่ะ เพราะรู้สึกว่ากลับมาทีไรมันก็คือบ้าน
 ถึงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานเท่ากับคนเชียงใหม่จริงๆ แต่นุ่นก็รู้สึก
ว่าที่นี่คือบ้านเสมอ เรามาอยู่ที่นี่จะรู้สึกว่านี่บ้านฉันนะ ฉันไม่กลัว
อะไรใครทำอะไรเราไม่ได้ มันอบอุ่นเสมอที่มาถึงค่ะ



คำถาม ในเรื่องนี้เรามาถ่ายทำกันที่เชียงใหม่ บรรยากาศโดยรวมคือเชียงใหม่
ได้กลับมาอีกครั้งเป็นอย่างไรบ้าง

นุ่น กลับมาคราวนี้ก็ยังรู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านนะคะ ทุกครั้งที่กลับมา
เชียงใหม่มันจะมีความสุข แล้วยิ่งได้กลับมาทำงานมันจะมี
พลังงานบางอย่างในตัวที่แบบว่าฮึกเหิมๆ บ้านฉันๆ ใครจะ
มาทำอะไรฉันไม่ได้เพราะนี่คือบ้านฉัน อย่างบางทีไปต่างถิ่น
ที่ไม่ใช่เชียงใหม่เราก็จะแอบมีความรู้สึกอีกแบบ มีความเกรง
ใจกับสถานที่กับเมืองของคนอื่น แต่พอมาอยู่ที่เชียงใหม่รู้สึก
เป็นตัวเองได้เต็มที่ เพราะนี่คือบ้านเราแล้วก็ชอบมาก แต่กลับ
มาครั้งนี้ก็จะดีหน่อยเพราะมีตังค์แล้ว การช๊อปปิ้งมันจะมีความ
สุขมากกว่าสมัยเรียน (หัวเราะ) เปรียบเทียบกันสมัยเรียน
สมัยเรียนยังต้องขอเงินคุณแม่ ตอนนั้นก็กินข้าวในมหาวิทยาลัย
แถวๆ นั้นก็ไม่แพง แต่เดี๋ยวนี้เชียงใหม่มันเติบโตมีร้านเก๋ๆ เยอะ
 มีอะไรให้ซื้อติดมือกลับไปอีกเพียง กลับมาคราวนี้โอ้..ชิวมาก
มีร้านสบายๆ สไตล์กิ๊บเก๋ให้นั่งเล่นเยอะมาก ชอบค่ะ


คำถาม แล้วความหมายของคำว่า “บ้าน” ในความรู้สึกของนุ่นคืออะไร
นุ่น บ้านสำหรับนุ่นมันต้องมีสองแบบคือรูปกับนาม มันต้องมีคนมี
ความรู้สึกอยู่ด้วยกัน ไม่ได้บอกว่าสถานที่คือบ้าน แต่ว่าที่ไหน
ก็ได้แต่ว่ามีคนที่เรารัก มีคนที่เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีความสุข
มีทั้งคุณพ่อ คุณแม่ อย่างของนุ่นเนี่ยคือ คุณพ่อ คุณแม่ คุณยาย
คุณน้องอยู่ด้วยกันแล้วก็แฮปปี้มีความสุข มีอารมณ์ความรู้สึก
ห่วงหาเอื้ออาทรกัน บ้านเราไม่จำเป็นต้องสวยงามมีของ
แบรนด์เนม หลังใหญ่ไฮโซอะไรในบ้าน บ้านเราไม่จำเป็นต้อง
กินข้าวแบบภัตตาคารต้องสั่งหรูหรา บางทีแค่ข้าวเหนียวกับ
ไข่เจียวที่คุณแม่ทอดแล้วก็ไปซื้อข้าวเหนียวมา นุ่นขี่จักรยาน
ไปซื้อข้าวเหนียวที่ตลาดแล้วนั่งกินกัน 5 คน นี่คือบ้านจริงๆ
สำหรับนุ่นแค่นี้ก็พอแล้ว


คำถาม ในเรื่องนี้นุ่นมารับบทเป็นปรียาเจ้าสาวที่หวาดกลัวต่อความเปลี่ยนแปลง
อยากให้นุ่นเป็นตัวแทนพูดถึงความเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นกำลังใจให้กับ
คนที่กำลังจะต้องเจอกับเหตุการณ์แบบเราบ้าง


นุ่น เรื่องความรักนี่นุ่นแอบอินนะ ความรักในมุมมองของนุ่น ยิ่งกับใน
เรื่องนี้ ความรักมันไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวเลยต้องอย่าไปกลัวที่จะรัก
อย่าคิดวิตกกังวลของเราเองมันจะไปบั่นทอนสิ่งดีๆ ที่เคยมีให้กัน
และกันมาตลอด นุ่นก็เป็นนะมีบางอารมณ์ก็เป็นเหมือนปรียาใน
เรื่องนี้ มันก็เลยสอดคล้องกับตัวละครเรื่องนี้มากเพราะว่าบางที
เหตุการณ์ข้างนอกไม่มีอะไรเลย แต่เราหยิบแค่จุดดำ ๆ จุดแย่ๆ
จุดนึงบนวงกลมใหญ่ๆ แล้วก็หยิบแค่จุดนึงมาแล้วจ้องมองมัน
คิดกับมันไปต่างๆ นานาให้มันขยายใหญ่ขึ้น มันก็จะไปทำลาย
สิ่งดีๆ ที่เคยมีมาทั้งหมด นุ่นว่าอย่าไปคิดเองอย่าไปกลัวที่จะรัก
แต่สำหรับคนที่จะเริ่มต้นใหม่อันดับแรกอย่าไปคิดว่าฉันต้องเริ่ม
ใหม่ให้ได้ ฉันต้องมีความรักใหม่ที่ดีให้ได้ เริ่มจากรักตัวเองก่อน
มันไม่ได้เป็นการเห็นแก่ตัวนะ แต่พอเรารักตัวเองรู้สึกดีกับตัวเอง
เห็นคุณค่าในตัวเราเอง มองสิ่งดีๆ ที่เราทำอะไรดีๆ เราคิดอะไรดีๆ
แล้วไอ้ความคิดอะไรดีๆ พวกนี้มันจะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้าหาเราเอง
เหมือนเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ อย่าเอาความรู้สึกเราไปฝากไว้ที่
คนอื่น รักตัวเองก่อน พอเราดีปุ๊ปนุ่นเชื่อว่าเดี๋ยวความรักดีๆ มันจะ
เข้ามาเองค่ะ


คำถาม มีเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้คนต้องไปดูหนังเรื่องนี้กันในความเห็นของนุ่น

นุ่น เอาแบบเบาๆ ก่อนเลยนะ หนังเรื่องนี้พูดถึงเชียงใหม่ บรรยากาศของ
ความเป็นเชียงใหม่จากมุมมองของคนเชียงใหม่มันไม่ใช่หนังที่แค่มา
ยืมโลเกชั่นเชียงใหม่แล้วก็ขอถ่ายวิวสวยๆ ของเขาเท่านั้น แต่หนัง
เรื่องนี้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของคนเชียงใหม่วิธีคิด วิธีการใช้ชีวิต
ทุกๆ อย่างก็ถ้าอยากลองดูคนเชียงใหม่ในสิ่งที่เขาเป็นก็มาดูเรื่องโฮม
นี่คือเหตุผลเบาๆ อย่างแรกเลยที่นุ่นอยากพูดถึง
แต่ถ้าเหตุผลที่นุ่นเล่นที่ชื่อว่า “งานแต่ง” นี้ นุ่นอยากให้คนที่มี
ความรักอยู่ไม่ว่าจะแต่งงานแล้วหรือว่าวัยเริ่มมีความรัก กำลังปลูกต้น
รักแล้วคิดว่าจะทำยังไงเดินทางยังไงต่อ อยากให้มาดูเพราะว่ามีบางสิ่ง
บางอย่าง เวลาที่คนเราเริ่มต้นคบกันทุกอย่างมันดีแล้วมันก็ผ่านเวลามา
เรื่อยๆ บางอย่างเราไม่ได้ใส่ใจกับมันมากพอ ถ้ามาดูเรื่องนี้นุ่นว่ามันจะ
สะท้อนมุมมองของความรักอีกแบบนึงให้เรารู้สึกได้ แล้วนุ่นก็เชื่อว่าใคร
มาดูเรื่องนี้แล้วจะต้องได้ข้อคิดอะไรกลับไปแน่นอน เราอาจจะพาแฟน
มาดูแล้วก็หันกลับไปมองคนข้างๆ ที่เราพามาด้วย แล้วคิดได้ว่า
“เออ...ฉันเคยลืมความรู้สึกตรงนี้กับเธอไป“ ต้องมาดูค่ะ


คำถาม อยากฝากอะไรทิ้งท้ายกับผู้ชมที่คอยติดตามเรื่องนี้บ้าง

นุ่น (อู้เมือง) ในฐานะของคนเชียงใหม่นะเจ้า ถึงจะอู้เมืองแปลกนิดหน่อย
แต่ว่าก็อยากจะขอฝากเรื่องโฮม เอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนะเจ้า
(พูดกลาง) อยากให้มาดูค่ะ อยากให้มาลองมองความรัก
อีกหลายๆ รูปแบบ และนุ่นเชื่อว่าสิ่งที่ได้กลับไปนอกจากความสนุก
นอกจากความบันเทิงที่หนังเรื่องนี้จะมอบให้แล้ว นุ่นว่าเรื่องนี้ให้
ข้อคิดบางอย่างกับชีวิตตัวเองได้ อยากให้ทุกคนมีความรักที่ดีขึ้นแล้ว
ก็จะส่งผ่านความรู้สึกนี้ผ่านหนังไปแล้วกันนะคะ


* ดูประวัติ นุ่น - ศิรพันธ์ วัฒนจินดา

* ดูอััลบั้ม นุ่น - ศิรพันธ์ วัฒนจินดา





 
 

Box Office

เรื่อง
ล่าสุด
รวม
1.
2.
3.
4.
5.
เรื่อง
ล่าสุด
รวม
1.
2.
3.
4.
5.

บทสัมภาษณ์ทั้งหมด

 
ยังไม่มีข้อมูล
หน้าแรกย้อนกลับ [ 1 ] หน้าถัดไปหน้าสุดท้าย
 
 

ติดตามหนังดี : Youtube Instagram Facebook Twitter  

MMM Digital Asset Co.,Ltd.
109 อาคารซีซีที ชั้น 2 ถนนสุรวงศ์
แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
Tel. 0-2234-7535    FAX. 0-2634-4269
E-mail: webmaster@nangdee.com   © 2006 nangdee.com
แผนที่ | sitemap | ติดต่อโฆษณา